tag:blogger.com,1999:blog-69189876303543115682024-03-14T02:11:15.335-07:00ศาสนาคริสต์บทที่ 4joylunch.blogspot.comhttp://www.blogger.com/profile/06124917237429878375noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-6918987630354311568.post-4571890944940762832008-11-22T00:53:00.000-08:002008-11-22T00:55:33.687-08:00บทที่ 4 <br />วิถีปฏิบัติของชาวคริสต์<br />“คริสตชนปฏิบัติตนอย่างไร?”<br /><br />แผนการความรอดพ้นของพระเจ้าซึ่งมีพื้นฐานจากการเผยแสดงของพระเยซูคริสตเจ้า ผ่านทางพระคัมภีร์ (พันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่) และการอธิบาย ที่สรุปออกเป็นหลักคำสอน (ข้อเชื่อ) ของศาสนาคริสต์ ไม่ได้เป็นแค่อุดมคติหรือหลักการ แต่เน้นการนำไปปฏิบัติในชีวิตเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษยชาติ และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งแสดงออกในเรื่องพิธีกรรม (การภาวนาและพิธีกรรม) และการประพฤติปฏิบัติตนตามแนวทางที่ถูกต้อง ตามแนวทางพระบัญญัติแห่งความรักและความช่วยเหลือของพระเจ้า ที่ประทานพระพรแก่มนุษยชาติเพื่อความรอดพ้นพ้น (กฎเกณฑ์และพระหรรษทาน) ทั้งนี้ การนำเรื่องวิถีปฏิบัติ (หลักปฏิบัติ) ของคริสตชน จะยึดแนวทางจากเอกสารคำสอนทางการของศาสนาคริสต์ นิกายโรมัน คาทอลิก (Catechism of the Catholic Church (CCC), 1994) เป็นหลักในการนำเสนอเนื้อหา<br /><br />1. การภาวนาและพิธีกรรม<br /><br />การภาวนาของคริสตชนดำเนินตามธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคอัครสาวก ซึ่งมีพื้นฐานจากพระคัมภีร์ที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างสัมพันธ์กับพระเจ้าตามรูปแบบของพระเยซูคริสตเจ้า ด้วยการอธิษฐานภาวนา โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่การร่วมในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้คริสตชนเป็นหนึ่งเดียวกันในการบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า <br /><br />1.1 การภาวนา<br /><br />1.1.1 คุณค่าและความหมาย<br /> <br /> การภาวนา คือ “การยกจิตใจขึ้นไปหาพระเจ้า” (CCC, 1994: 2590) เป็นการสนทนากับพระเจ้าในนามของพระเยซูคริสตเจ้า (CCC, 1994: 2614) ภายใต้การนำของพระจิตเจ้า ด้วยความเชื่อ ความหวังและความรักในพระเจ้าเป็นพื้นฐาน (CCC, 1994: 2607) ด้วยความตั้งใจจริงที่จะตอบรับด้วยการให้ความร่วมมือกับแผนการแห่งความรอดพ้นของพระเจ้า (CCC, 1994: 2611) โดยมีท่าทีของความสุภาพ ถ่อมตนต่อพระเจ้า โดยมีจุดหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ ผู้โปรดประทานพระพรแห่งความรอดพ้นแก่มนุษยชาติ จากธรรมเนียมปฏิบัติของคริสตชน ได้ให้ความหมายของภาวนาว่าหมายถึง (CCC, 1994: 2626 – 2643)<br /><br />ก. การอวยพรและการนมัสการ (Blessing and Adoration)<br /><br />1) การอวยพร หมายถึงการสำนึกและการพรรณาถึงการที่พระเจ้าประทานพระพรแก่มนุษยชาติ<br /><br />2) การนมัสการ หมายถึงการยกย่องความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สร้างสรรพสิ่งและประทานพระพรแก่มนุษยชาติในการบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์<br /><br /> ข. การภาวนาวอนขอพระเมตตา (Petition) หรือการขอขมาโทษ<br /><br />หมายถึงความสำนึกในพระเมตตาของพระเจ้าและขออภัยโทษพระองค์สำหรับการไม่ร่วมมือหรือการปฏิเสธแผนการความรอดพ้นของแต่ละบุคคล<br /><br /> ค. การภาวนาอ้อนวอน (Intercession)<br /><br />หมายถึง การภาวนาวอนขอพระพรสำหรับตนเองและผู้อื่นในสิ่งที่ตนต้องการพระพรพิเศษในการดำเนินชีวิตประจำวัน<br /><br /> ง. การภาวนาขอบพระคุณ (Thanksgiving)<br /><br />หมายถึง การขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระพรแห่งความรอดพ้นและพระพรในการดำเนินชีวิตที่พระองค์ประทานให้<br /><br /> จ. การภาวนาสรรเสริญ (Praise)<br /><br />หมายถึง การสรรเสริญ เทิดเกียรติ/ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเพราะพระองค์ทรงเป็นอยู่เหนือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ<br /><br />1.1.2 ประเภทของการภาวนา<br /><br />คริสตชนให้ความสำคัญต่อการภาวนาว่าเป็นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและสำนึกตนว่าแต่ละคนภาวนาในนามของพระศาสนจักร เพื่อความรอดพ้นของมนุษยชาติ คริสตชนมีธรรมเนียมในการภาวนาส่วนตัวและการภาวนาร่วมกับคนอื่น โดยเฉพาะการภาวนาร่วมกันในครอบครัวและการภาวนาร่วมกับคริสตชนอื่นๆ ดังนั้น คริสตชนจึงภาวนาได้ในทุกสถานที่ที่มีบรรยากาศเหมาะสม โดยเฉพาะที่วัด ซึ่งเป็นสถานที่เฉพาะสำหรับการภาวนาและการร่วมพิธีกรรมคริสตชน ธรรมเนียมประเพณีคริสตชนแบ่งประเภทการภาวนาเป็นสามรูปแบบ คือ (CCC, 1994: 2700 – 2724)<br /><br />ก. ภาวนาออกเสียง (Vocal Prayer)<br /><br />หมายถึงการถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยการออกเสียงและการร้องเพลงที่ออกมาจากใจจริงของผู้ภาวนา<br /><br />ข. การรำพึง (Meditation)<br /><br />หมายถึง การไตร่ตรองถึงชีวิตของตนเองอาศัยพระคัมภีร์หรือการอธิบายคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อพิจารณาและฟังเสียงของพระที่ตรัสในใจของแต่ละคน<br /><br />ค. การเพ่งญาณ (Contemplative Prayer)<br /><br />หมายถึงการรวมจิตใจด้วยความสำนึกว่าอยู่ต่อหน้าพระเจ้า สำนึกถึงความรักที่พระเจ้ามีกับเราแต่ละคน<br /><br />การภาวนาทั้งสามแบบข้างต้นนี้มีลักษณะร่วมกันคือ การสำรวมจิตใจที่ปรารถนาที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยการ “อยู่กับพระองค์” คริสตชนให้ความสำคัญต่อการภาวนาเพราะสำนึกในพระวาจาของพระเยซูคริสตเจ้าที่ย้ำให้อธิษฐานภาวนาอยู่เสมอและภาวนาให้เป็นนิสัย คือ ภาวนาควบคู่กับการดำเนินชีวิต ด้วยการดำเนินชีวิตตามที่เราภาวนา กล่าวคือการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า ด้วยการให้เวลาในการภาวนา/ร่วมพิธีกรรมและการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยการปฏิบัติตามพระบัญญัติแห่งความรักที่พระองค์ทรงมอบให้<br /><br />1.1.3 ตัวอย่างบทภาวนา (บทภาวนาที่สำคัญ)<br /><br />บทภาวนาของคริสตชนแบ่งกว้าง ๆ ได้สองแบบ คือ แบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ การที่คริสตชนแต่งบทภาวนาของตนตามแบบของตน (ไม่มีสูตรตายตัว) เพื่อนมัสการ สรรเสริญ อ้อนวอน ขอพระพรและขอบพระคุณพระเจ้า และยังมีบทภาวนาที่เป็นทางการ หรือบทภาวนาที่เป็นสูตรสำเร็จรูปที่มีเนื้อหาจากพระคัมภีร์ โดยเฉพาะบทเพลงสดุดี (Psalms) ในพันธสัญญาเดิม และบทภาวนาอื่น ๆ ที่อ้างอิงจากพระคัมภีร์ (พันธสัญญาเดิม-พันธสัญญาใหม่) รวมถึงบทภาวนาอื่นๆ ที่พระศาสนจักรแต่งขึ้นเพื่อให้คริสตชนใช้สวดภาวนาร่วมกัน ได้แก่<br /><br />ก. บทภาวนาขององค์พระผู้เป็นเจ้า : บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย<br /><br /> บทภาวนาขององค์พระผู้เป็นเจ้า (CCC, 1994: 2765) คือ บทข้าแต่พระบิดาฯ ซึ่งเป็นบทภาวนาที่สำคัญที่สุด เพราะพระเยซูคริสตเจ้าเป็นผู้สอนให้สวดบทนี้ด้วยพระองค์เอง (มธ 6: 9 - 13) ถือเป็นบทภาวนาพื้นฐานของคริสตชน มีการสวดภาวนาบทนี้ร่วมกันในพิธีบูชาขอบพระคุณ โดยมีใจความว่า<br /> <br />“ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์<br />พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์ จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ อาแมน”<br /><br />ข. บทภาวนาอื่น ๆ<br /><br />นอกจากบทภาวนาขององค์พระผู้เป็นเจ้า (บทข้าแต่พระบิดา) แล้ว ยังมีบทภาวนาอื่น ๆ อีกจำนวนมากที่พระศาสนจักรแต่งขึ้น โดยนำเนื้อหามาจากพระคัมภีร์และธรรมเนียมปฏิบัติของอัครสาวกและคริสตชนยุคแรกใช้สวดภาวนากัน เช่น บทสัญลักษณ์ของอัครสาวก บทวันทามารีอา บทสิริพึงมี บทแสดงความเชื่อ บทแสดงความไว้ใจ บทแสดงความรัก บทแสดงความทุกข์ พระบัญญัติของพระเจ้า ฯลฯ ซึ่งมีการแปลเป็นภาษาต่างๆ เพื่อความสะดวกของคริสตชนในประเทศต่างๆ<br /><br />1.2 พิธีกรรม (Liturgy)<br /><br />1.2.1 คุณค่าและความหมายของพิธีกรรม<br /><br />พิธีกรรม คือ การเฉลิมฉลองของบรรดาชาวสวรรค์ (ผู้บรรลุถึงชีวิตนิรันดรในพระเจ้า) ที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ (CCC, 1994: 1136) การประกอบพิธีกรรมของคริสตชนสะท้อนถึงหลักคำสอนและวิถีปฏิบัติของศาสนาคริสต์ อันมีพื้นฐานจากการเผยแสดงของพระเจ้าทางพระเยซูคริสตเจ้า ผ่านทางพระคัมภีร์ คริสตชนให้ความสำคัญต่อการร่วมในพิธีกรรมและถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นการเฉลิมฉลองคารวกิจที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ พิธีกรรมทำให้คริสตชนเป็นหนึ่งเดียวกันและทำให้ชีวิตคริสตชนมีคุณค่าและดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย เพราะพิธีกรรมเป็นเครื่องมือและเครื่องหมายที่ทำให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทำให้มนุษย์ได้รับพระพรจากพระเจ้าในการดำเนินชีวิตตามแผนการแห่งความรอดพ้นของพระองค์ <br /><br />ก. พิธีกรรมเป็นธรรมล้ำลึกของพระตรีเอกภาพ<br /><br />คริสตชนเชื่อว่าพิธีกรรมเป็นคารวกิจที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ เป็นการชิมลางและการจำลองถึงการเฉลิมฉลองพิธีกรรมในอาณาจักรของพระเจ้า (สวรรค์) และเป็นธรรมล้ำลึกของพระตรีเอกภาพ เนื่องจาก (CCC, 1994: 1077 – 1112)<br /><br />1) พิธีกรรมเป็นคารวกิจที่ถวายเกียรติแด่พระบิดา ในฐานะที่พระองค์เป็นจุดกำเนิดและเป้าหมายชีวิต<br /><br />2) พิธีกรรมเป็นการปฏิบัติหน้าที่ “สงฆ์” ของพระเยซูคริสตเจ้า ทำให้คริสตชนมีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้น ทรงสถาปนาพิธี (ศีล) ศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น<br /><br />3) พิธีกรรมทำให้คริสตชนศักดิ์สิทธิ์และเป็นหนึ่งเดียวกันในการเป็นประชากรของพระเจ้า อาศัยพระพรของพระจิตเจ้า<br /><br />ข. พิธีกรรมเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า<br /><br />คริสตชนเชื่อว่าพิธีกรรมเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นเครื่องหมายและเครื่องมือแห่งความรอดพ้นที่พระเจ้าประทานแก่ประชากรของพระองค์ พิธีกรรมทำให้มนุษย์เป็นมีส่วนร่วมในความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทำให้ได้รับพระพรจากพระเจ้าในการดำเนินชีวิตมุ่งสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ (ความรอดพ้นพ้น) อาศัยพระวาจาของพระเจ้าและความเชื่อในพระวาจาของพระเจ้าด้วยการนำพระวาจาไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อมุ่งสู่ชีวิตนิรันดร<br /><br />การประกอบพิธีกรรมซึ่งเป็นการกระทำที่แสดงออกภายนอกโดยอาศัยเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ท่าทาง สิ่งของต่าง ๆ ถือเป็น “สิ่งจำเป็น” สำหรับคริสตชนเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า อย่างไรก็ตามพิธีกรรมไม่ใช่เป็นเพียง “พิธี” ภายนอก (ในรูปแบบของไสยศาสตร์) ที่ต้องทำ แต่พิธีกรรมของศาสนาคริสต์เรียกร้องให้คริสตชนร่วมพิธีกรรมด้วยความรู้ตัว รู้คุณค่า ความหมายและมีส่วนร่วมตามบทบาทหน้าที่ตามสถานภาพของแต่ละบุคคล พระศาสนจักรจึงมีการปฏิรูปพิธีกรรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะในการประชุมสังคายนาเมืองเตรนท์ (ราวศตวรรษที่ 16) และในการประชุมสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1962 – 1965) เพื่อให้การประกอบพิธีกรรมคริสตชน เป็นการประกอบหน้าสงฆ์ของพระเยซูคริสตเจ้า ทำให้มนุษยชาติศักดิ์สิทธิ์โดยผ่านทางเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ (พิธี/ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ) ที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้นในพระศาสนจักรของพระองค์<br /><br />ค. คุณลักษณะสำคัญของพิธีกรรม<br /><br />ลักษณะสำคัญของพิธีกรรมคริสตชนประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ<br /><br />1) เป็นการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียว (Unity) ในด้านเนื้อหาสาระที่สะท้อนถึงการมีความเชื่อเดียวกัน<br /><br />2) มีลักษณะเป็นสากล (Catholic, Universal) กล่าวคือ ทุกคน (คริสตชน) สามารถร่วมพิธีกรรมได้ในบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคล<br /><br />3) มีลักษณะเป็นความศักดิ์สิทธิ์ (Holy) กล่าวคือ มีจุดหมายเพื่อบันดาลให้มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์อาศัยพระพรของพระจิตเจ้า<br /><br />4) สืบเนื่องจากธรรมประเพณีของอัครสาวก (Tradition) ด้วยการยึดตามวิถีปฏิบัติที่สืบทอดกันมาเป็นหลัก และประยุกต์ (รายละเอียดปลีกย่อย) ให้เหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละท้องถิ่นและยุคสมัย<br /><br />ง. องค์ประกอบของพิธีกรรม<br /><br />พิธีกรรมคริสตชนประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญคือ การประกาศพระวาจา ความเชื่อและการกลับใจ กล่าวคือ การยอมรับฟังพระวาจา (ข่าวดีและวิถีแห่งความรอดพ้น) ด้วยความเชื่อศรัทธาในฐานะเป็นพระวาจาของพระเจ้า อันเป็นวิถีทางสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า เมื่อได้ฟังพระวาจาด้วยความเชื่อศรัทธาแล้ว นำชีวิตสู่การยอมรับและตอบรับพระวาจาด้วยการกลับใจ อันหมายถึงการเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนให้สอดคล้องกับวิถีทางแห่งความรอดพ้นที่พระเจ้ามอบให้ทางพระเยซูคริสตเจ้าผ่านทางพระวาจาของพระองค์<br /><br />1.2.2 พิธีกรรมของคริสตชน คือ การประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ (Sacraments) และสิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์<br /><br />คริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาด้วยความรักและประทานพระพรให้มนุษย์ดำรงชีวิตอย่างมีเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า ชีวิตมนุษย์จึงเป็นการเริ่มต้นจากพระเจ้าและกลับไปหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง การดำเนินชีวิตของคริสตชนจึงเป็นไปตามแบบอย่างของชีวิตพระเยซูคริสตเจ้าคือ เกิด ตายและกลับเป็นขึ้นมาเพื่อกลับไปหาพระบิดา พระผู้สร้าง (ไพยง มนิราช, 2003: 10) ชีวิตมนุษย์จึงเป็นทั้งชีวิตที่ดำเนินไปตามระดับกายภาพ แต่ในขณะเดียวกัน คริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าได้ประทานพระพร เพื่อให้มนุษย์สามารถบรรลุถึงชีวิตนิรันดร (ชีวิตเหนือธรรมชาติ) เพื่อให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ดังนั้น การดำเนินชีวิตของมนุษย์ นอกจากจะบำรุงเลี้ยงตนเองด้านร่างกาย (กายภาพ) แล้ว ยังต้องบำรุงเลี้ยงตนเองด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าอยู่เสมอด้วยการร่วมในพิธีกรรม และพิธีกรรมคริสตชนคือ การประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์และสิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์ (CCC, 1994: 1075) ซึ่งดำเนินตามจังหวะและครอบคลุมถึงชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิด เติบโตและการจบชีวิตบนโลกนี้<br /><br />ก. พิธีกรรม คือ การประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์<br /><br />พิธีกรรมหลักของคริสตชน คือ การการประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดอย่าง ซึ่งมีรูปแบบพิธีกรรมของพระศาสนจักร ได้แก่ ศีลล้างบาป ศีลมหาสนิท ศีลศีลกำลัง ศีลอภัยบาป ศีลสมรส ศีลบวช ศีลเจิมคนไข้ ในฐานะเป็นเครื่องหมายและเครื่องมือแห่งความรอดพ้น เพื่อทำให้มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้าและเป็นคารกิจที่ถวายแด่พระเจ้า การร่วมพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ จึงเรียกร้องให้คริสชนมีความเชื่อและแสดงออกด้วยถ้อยคำและสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นพิธีกรรม ทำให้ได้รับพระพรจากพระเจ้าเพื่อจะได้ดำเนินชีวิตปัจจุบันด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อมนุษย์ อันเป็นวิถีทางสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า ตามแผนการแห่งความรอดพ้น พระศาสนจักรจึงเรียกร้องให้คริสตชนมีใจร้อนรนที่จะรับศีลศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตคริสตชนให้เข้มแข็งและก้าวหน้าในความสัมพันธ์กับพระเจ้า<br /><br />1) ความหมายของพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์<br /><br />1.1) ความเป็นมาและแนวคิดของพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ <br /><br />แม้จะไม่มีคำว่า “Sacraments” ในพระคัมภีร์ แต่ก็มีเนื้อหาซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีสิ่งที่เรียกกันด้วยชื่อนี้ในเวลาต่อมา พระศาสนจักรยุคแรก ๆ ยอมรับและถือเป็นประเพณีปฏิบัติว่าศีลล้างบาปและศีลมหาสนิท เป็นการทำตามพินัยกรรมที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงสั่งในฐานะเป็น “เครื่องหมายสำหรับความรอดพ้น” ต่อมาพระศาสนจักรภายใต้การนำของอัครสาวกและผู้สืบทอดได้พัฒนาแนวคิดและความเชื่อในเรื่องศีลศักดิ์สิทธิ์และมีธรรมเนียมปฏิบัติในพระศาสนจักรยุคต่อๆ มา จนที่สุดในสภาสังคายนาเมืองเตรนท์ (ค.ศ. 1545 – 1563) อาศัยการดลใจของพระจิตเจ้าจึงได้มีการสรุปความเชื่อเกี่ยวกับศีลศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการว่ามีเจ็ดอย่างและยืนยันว่าศีลศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้พระเยซูคริสตเจ้าเป็นผู้ตั้งขึ้นในพระศาสนจักรของพระองค์ โดยมอบเนื้อหาสาระของศีลศักดิ์สิทธิ์แก่พระศาสนจักรที่สืบทอดจากอัครสาวก เป็นเครื่องหมายและเครื่องมือที่แลเห็นได้ เป็นสัญลักษณ์ของพระพรของพระเจ้าที่ประทานแก่ประชากรของพระองค์เพื่อความรอดพ้นพ้นที่พระเจ้าประทานให้และทำให้เกิดผลในบุคคลที่รับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ (Ex Opere Operato) <br /><br />แนวคิดความเข้าใจเกี่ยวกับศีลศักดิ์สิทธิ์มีพื้นฐานอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ที่พระองค์ทรงเปิดเผยตัวพระองค์เองสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ผ่านทางพันธสัญญาที่จะช่วยมนุษย์บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ อาศัยการตอบรับของมนุษย์ด้วยความเชื่อ ความหวังและความรักในพระเจ้าและปฏิบัติความรักต่อเพื่อนมนุษย์ พันธสัญญานี้เป็นจริงทางองค์พระเยซูคริสตเจ้าที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นจริงขึ้น ทรงทำให้ประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้ามีคุณค่าและความหมายด้วยการทำให้ประวัติศาสตร์มนุษย์เป็นประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น ทำให้มนุษย์สามารถบรรลุถึงความสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นสื่อกลาง (เครื่องหมายและเครื่องมือแห่งความรอดพ้น) แต่พระองค์เดียวในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ทรงตั้งพระศาสนจักรขึ้นเพื่อสืบต่อภารกิจของพระองค์ ทรงมอบความเป็นเครื่องหมายและเครื่องมือแห่งความรอดพ้น (ศีลศักดิ์สิทธิ์) แก่พระศาสนจักร ให้พระจิตของพระองค์ประทับอยู่ในพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น เครื่องหมายและเครื่องมือแห่งความรอดพ้น (ศีลศักดิ์สิทธิ์) จึงปรากฏในรูปแบบของพิธีกรรมซึ่งเป็นเครื่องมือที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงมอบพระพรแห่งความรอดพ้นแก่ประชากรของพระเจ้า เพื่อมุ่งสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ เพื่อให้ประชากรของพระเจ้าได้มอบชีวิตของตนเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างต่อเนื่องทุกขณะของการดำเนินชีวิต นับตั้งแต่เกิดจนถึงตาย จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตบนโลกนี้ ศีลศักดิ์สิทธิ์จึงมีความหมายที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตที่สมบูรณ์ในอาณาจักรพระเจ้า ไม่ใช่แค่พิธีระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต (ที่พระเจ้าทรงสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ทางพระเยซูคริสตเจ้า) ไม่ใช่แค่พิธีกรรมสำหรับปัจจุบันอย่างเดียว (เพื่อรับพระพรสู่ชีวิตที่สมบูรณ์) แต่เป็นกิจกรรมที่เชื่อมอดีต (การช่วยให้รอดของพระเจ้า) ปัจจุบัน (การรับพระพรจากพระเจ้า) และอนาคต (การบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า) ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน อันเป็นความรอดพ้นพ้นที่ต่อเนื่องจากอดีต สู่ปัจจุบัน มุ่งสู่นิรันดรภาพในอนาคต<br /><br />1.2) การประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์<br /><br />พิธีกรรม (CCC, 1994: 1136 – 1199) คือ “กิจการ” ของพระเยซูคริสตเจ้า ที่ทรงมอบแก่พระศาสนจักรเพื่อเฉลิมฉลองร่วมกับบรรดาชาวสวรรค์ (ผู้บรรลุถึงชีวิตนิรันดรแล้ว) ทำให้ผู้ร่วมในพิธีกรรม (ในรูปแบบของการประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์) ได้รับพระพรในการมีส่วนร่วมในชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า ดังนั้น การประกอบพิธีกรรม (พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์) ของคริสตชนจึงมีรูปแบบที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความเชื่อว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงมอบแก่พระศาสนจักร โดยมีพระจิตเจ้าประทับในพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น พิธีกรรมจึงไม่ใช่กิจกรรมส่วนบุคคล แต่เป็นกิจการของพระ ศาสนจักรซึ่งเป็น “เครื่องหมายแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน” (CCC, 1994: 1140) กล่าวคือ ประชากรของพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันและจัดพิธีกรรมขึ้น ภายใต้อำนาจของพระเยซูคริสตเจ้าที่มอบแก่อัครสาวกและผู้สืบทอด (บรรดามุขนายก) โดยมีสมาชิกของพระศาสนจักรมีส่วนเกี่ยวข้องตามตำแหน่งหน้าที่ บทบาทและการมีส่วนร่วมในพิธีกรรม อาศัยเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ถ้อยคำและท่าทางต่างๆ การร้องเพลงและดนตรี รวมถึงศิลปะต่าง ๆ ที่ทำให้คิดถึงพระเจ้า ภายใต้การนำของพระจิตเจ้า โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่พิธีบูชาขอบพระคุณวันอาทิตย์ (การเฉลิมฉลองธรรมล้ำลึกปัสกาของพระเยซูคริสตเจ้า ) ซึ่งเป็นวันของพระผู้เป็นจ้าทำให้คริสตชนมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อบรรลุถึงชีวิตนิรันดร ตามปกติคริสตชนจะประกอบพิธีกรรมในสถานที่สำหรับการปฏิบัติคารวกิจ (โบสถ์) ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการชุมนุมของคริสตชนและเป็นเครื่องหมายถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า <br /><br />พระศาสนจักรยืนยันถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชนในการประกอบพิธีกรรมในด้านเนื้อหาสาระอย่างซื่อสัตย์ต่อธรรมประเพณีที่สืบต่อจากอัครสาวก โดยมีการประยุกต์ให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นในรายละเอียดปลีกย่อย <br /><br />2) ประเภทและความหมายของศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ<br /><br />พระศาสนจักรยืนยันว่าศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้นมีเจ็ดประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทุกช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตคริสตชน ศีลศักดิ์สิทธิ์จึงครอบคลุมชีวิตคริสตชนตั้งแต่เกิด เจริญเติบโต การบำบัดรักษาและพระพรของศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในทุกจังหวะที่สำคัญของชีวิต โดยแบ่งออกเป็นสามประเภทกว้าง ๆ ได้แก่ การเริ่มต้นชีวิตคริสตชน (ศีลล้างบาป กำลัง และมหาสนิท) การบำบัดรักษา (ศีลอภัยบาปและเจิมคนไข้) การเป็นหนึ่งเดียวและพันธกิจของคริสตชน (ศีลสมรสและศีลบวช) โดยศีลศักดิ์สิทธิ์ทุกประเภท เป็นการมุ่งสู่ศีลมหาสนิท (CCC, 1994: 1211) ที่ทำให้คริสตชนเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ลำดับต่อไปจะนำเสนอคุณค่า ความหมายของศีลศักดิ์สิทธิ์แต่ละอย่างดังนี้ <br /><br />2.1) ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการเข้าสู่ชีวิตคริสตชน<br />ประกอบด้วยสามพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ ศีลล้างบาป กำลังและมหาสนิท ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของชีวิตคริสตชน ศีลล้างบาปทำให้คริสตชนได้เกิดใหม่ด้วยความเชื่อในพระเจ้า ศีลกำลังเป็นการหล่อเลี้ยงคริสตชนให้เข้มแข็งและรับพลังในการดำเนินชีวิตคริสตชนจากศีลมหาสนิท <br /><br />2.1.1) ศีลล้างบาป (Baptism) : การเริ่มต้นชีวิตคริสตชน<br /><br />ก) ความเป็นมา<br /><br /> สืบเนื่องมาจากการที่พระเยซูทรงรับพิธีล้างจากยอห์น (ยน 1: 29-34) การสอนเรื่อง “การล้างบาป” ในการสนทนากับนิโคเดมัส (ยน 3: 1-10) และคำสั่งของพระองค์ที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา โปรดศีลล้างบาปให้เขา เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต” (มธ 28: 19) คริสตชนนับแต่ยุคแรกจึงได้ถือปฏิบัติพิธีศีลล้างบาป โดยหมายถึงการชำระตนให้บริสุทธิ์จากบาปยืนยันความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และเป็นเครื่องหมายของการกลับใจ และในเวลาเดียวกันก็เป็นเครื่องหมายการเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร “คนเหล่านั้นได้ฟังและได้รับศีลล้างบาป” (กจ 2: 41) พวกเขาแสดงออกถึงการกลับใจ “ท่านทั้งหลายจงสำนึกผิดกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาป เดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า” (กจ 2: 38) เป็นการประกาศยอมรับพระเยซูคริสตเจ้า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสตเจ้า ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า (กจ 8: 38 ดู 8: 26-40) ความหมายที่ลึกซึ้งของศีลล้างบาปนี้คือ “ในศีลล้างบาป ท่านทั้งหลายได้ถูกฝังพร้อมกับพระเยซูคริสตเจ้าและกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์” (คส 2: 12) นี่คือการเกิดใหม่ เพราะได้ตายต่อบาปแล้ว (รม 6: 11) จึงต้องดำเนินตามวิถีชีวิตใหม่เพื่อมุ่งสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า<br /><br />ข) ความจำเป็นและผลของศีลล้างบาป<br /><br /> พระเยซูคริสตเจ้าย้ำถึงความจำเป็นของการรับศีลล้างบาป เพื่อความรอดพ้น โดยเชื่อมโยงความเชื่อกับการล้างบาปเข้าด้วยกัน กล่าวคือ การล้างบาปเป็นการแสดงออกถึงความเชื่ออันเป็นผลจากฟังการประกาศพระวาจาของพระเจ้าและพร้อมที่จะนำแนวทางของพระเจ้ามาปฏิบัติในชีวิต เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ ทั้งนี้ศีลล้างบาปทำให้ผู้รับศีลได้รับพระพรจากพระเจ้าเป็นพิเศษ ได้แก่<br /><br />- การยกบาปทุกประการ (บาปกำเนิดและบาปส่วนบุคคล) ที่ทำให้มนุษย์กับพระเจ้าแยกจากกัน<br /><br />- การเป็นบุตร (บุญธรรม) ของพระเจ้า ได้รับชีวิตใหม่ในการมีส่วนร่วมในชีวิตของพระคริสตเจ้า<br /><br />- การเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเยซูคริสตเจ้าและร่วมส่วนในภารกิจตามแผนการแห่งความรอดพ้นของพระเจ้า<br /><br />ค) รูปแบบและความหมาย<br /> <br />รูปแบบและความหมายของศีลล้างบาปสืบทอดมาจากประเพณีของอิสราเอล นับแต่พันธสัญญาเดิม การชำระล้างด้วยน้ำเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการชำระทางจิตใจ (อพย 40: 12, ลนต 8: 6 ฯลฯ) เป็นการ “ผ่าน” ความตายเข้าสู่ชีวิตเหมือนกับชาวอิสราเอลข้ามทะเลแดง พ้นจากเป็นทาสของอียิปต์ ส่วนรูปแบบพิธีกรรมการล้างบาปนั้นก็รับมาจากประเพณียิว ดังที่นักบุญยอห์น บับติสต์เองก็ได้กระทำ ไม่มีการกล่าวถึง “สูตร” หรือพิธีการต่างๆ ในการล้างบาป แต่ก็เข้าใจว่า เป็นการลงไปในน้ำ หรือใช้น้ำรดที่ศีรษะ พร้อมกับออกพระนามพระเจ้า พระบิดา พระบุตรและพระจิต ดังที่นักบุญยุสติน ปิตาจารย์ในต้นศตวรรษที่สองได้บันทึกไว้ว่า<br /><br />“กล่าวถึงการล้างบาป ให้ล้างบาปดังนี้ หลังจากได้บรรยายทั้งหมดแล้วให้ล้างบาปในพระนามพระบิดา พระบุตรและพระจิต ในน้ำที่ (มีกระแสน้ำ) ไหล หากไม่มีน้ำที่ไหล ก็จงล้างในน้ำแบบอื่น หากไม่สามารถล้างในน้ำเย็น ก็จงล้างในน้ำอุ่น และหากไม่มีน้ำทั้งสองแบบก็จงใช้น้ำรดศีรษะสามหน ‘ในพระนามของพระบิดา และพระบุตร และพระจิต’ และก่อนที่จะล้าง ให้ผู้ทำพิธีล้างและผู้รับศีลล้าง ตลอดจนคนอื่นๆ ด้วย ถ้าเป็นไปได้ อดอาหารเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวันก่อนพิธี” <br /><br />ง) การเตรียมตัวก่อนรับศีลล้างบาป<br /><br />ก่อนจะรับศีลล้างบาป มีการเตรียมตัวเป็นเวลานาน บางครั้งนับเป็นปี ผู้ที่เตรียมตัวรับศีลล้างบาปนี้เรียกว่า “คริสตชนสำรอง” โดยการเรียนรู้หลักธรรมคำสอนต่างๆ ของพระศาสนจักร พร้อมกับการภาวนาและร่วมพิธีกรรมบางอย่างได้ เช่น ร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณภาคแรกซึ่งเป็นภาคเตรียมนั้นได้ พิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนแต่เพียงการเตรียมตัวซึ่งสั้นลง และรายละเอียดต่างๆ ในระหว่างพิธีกรรมนั้นเท่านั้น<br /><br />จ) ผู้รับศีลล้างบาป : ผู้มีความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า<br /><br />ศีลล้างบาปเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความเชื่อ เป็นการเริ่มต้นความเชื่อสู่วิถีชีวิตคริสตชน เป็นที่แน่ชัดว่า ศีลล้างบาปกระทำกับผู้ใหญ่ ไม่มีหลักฐานว่าในศตวรรษต้น ๆ นั้นมีการล้างบาปเด็กหรือไม่ แต่ได้เริ่มปฏิบัติกันในต้นยุคกลาง สังคายนาเตรนท์ได้ย้ำความสำคัญของเรื่องนี้ ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลบล้างบาปกำเนิดแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นการตีความและถกเถียงกันมากตลอดมา อย่างไรก็ดีถือเป็นประเพณีปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ว่า บิดามารดานำบุตรที่เกิดใหม่ไปรับศีลล้างบาป โดยมี “พ่อทูนหัว” (Godfather) หรือ “แม่ทูนหัว” (Godmother) ไปด้วย ทั้งพ่อแม่และพ่อแม่ทูนหัวเป็นตัวแทนของเด็กในการประกาศความเชื่อ เป็นผู้รับผิดชอบในการอบรมเลี้ยงดูให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้มีความเชื่อ นอกนั้นประชาคมคริสต์เองก็มีส่วนร่วมและรับผิดชอบด้วยเช่นกัน เพราะเด็กผู้นั้นกลายเป็นส่วนของประชาคมคริสต์แล้วอย่างสมบูรณ์ ตามปกติจะกระทำพิธีล้างบาปในวัดในคืนวันปัสกา หรือวันอาทิตย์ หรือวันที่เห็นว่าเหมาะสม ความหมายก็คือให้เป็นการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในธรรมล้ำลึกการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งเป็นวันที่ประชาคมคริสต์เองก็มาร่วมชุมนุมกันมากที่สุด<br /><br />ฉ) ศาสนบริกรศีลล้างบาป<br /><br />ปกติผู้กระทำพิธีโปรดศีลล้างบาป คือ ศาสนบริกรสงฆ์ ในกรณีที่เด็กหรือผู้ใหญ่อยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต คริสตชนทุกคนมีสิทธิ์โปรดศีลล้างบาปได้ ในกรณีเช่นนี้พิธีกรรมการล้างบาปก็มีแต่เพียงส่วนที่สำคัญที่สุด คือการเทน้ำลงบนศีรษะของเด็กหรือผู้ใหญ่นั้นและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าล้างท่านในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระจิต”<br /><br />พระศาสนจักรให้ความสำคัญแก่พิธีศีลล้างบาปในฐานะเป็นพื้นฐานสู่การรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการอื่นๆ ศีลล้างบาปทำให้ผู้รับศีลได้เข้าสู่การเป็นคริสตชน ทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันในการเป็นประชากรของพระเจ้า ศีลล้างบาปเป็นเหมือนกับ “ตราประทับ” ในการเป็นคนของพระคริสตเจ้า (คริสตชน) ที่ถูกประทับตราฝ่ายจิตที่ลบล้างไม่ได้ นอกจากนั้น ศีลล้างบาปยังเป็นเหมือนกับ “ประตู” สู่ชีวิตคริสตชนที่ต้องมีการหล่อเลี้ยงชีวิตของตนในการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า ด้วยการปฏิบัติตนตามแนวทางที่พระองค์มอบแก่พระศาสนจักร<br /><br />2.1.2) ศีลกำลัง (Confirmation) : การเป็นคริสตชนที่สมบูรณ์<br /><br />ก) ความเป็นมาและความหมาย<br /><br />ศีลกำลังเป็นพิธีกรรมศีลศักดิ์สิทธิ์ที่สัมพันธ์และต่อเนื่องจากศีลล้างบาป กล่าวคือ ศีลล้างบาปเป็นการปฏิญาณความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ผู้ทรงประทานชีวิตใหม่ ทำให้เข้าร่วมชีวิตพระเจ้ากับพระองค์ ส่วนศีลกำลังเป็นการรับพระหรรษทาน จากพระจิตของพระเจ้า “ยืนยัน” และ “ทำให้ความเชื่อนี้หนักแน่น” (To Confirm) พระองค์ประทานพระพรต่างๆ แก่ผู้รับ ให้มีความเชื่อที่เข้มแข็ง ให้สามารถดำเนินตามวิถีชีวิตใหม่ที่ได้รับจากศีลล้างบาป ทำให้เป็นคริสตชนที่สมบูรณ์อาศัยพระพรของพระจิตเจ้าที่ประทานแก่ผู้รับศีลกำลัง<br /><br />การค้นหาที่มาและพื้นฐานของศีลกำลังในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่อาจหาได้ไม่ง่ายนัก แต่การพิจารณาความเป็นมาและสถานภาพของศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ หากพิจารณาเพียงแต่ในแง่ที่ว่า ศีลศักดิ์สิทธิ์ คือ เครื่องมือของพระหรรษทานของพระเจ้า (Grace) โดยไม่ให้ความสำคัญกับศีลศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะที่เป็นธรรมล้ำลึกแห่งความรอดพ้นที่พระเจ้ามอบภารกิจแก่พระศาสนจักร ก็จะทำให้แยกศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ออกจากกัน ไม่พิจารณาเอกภาพของชีวิตและความสัมพันธ์ของขณะต่างๆ ของชีวิต ไม่พิจารณาความสัมพันธ์ของธรรมล้ำลึกต่างๆ ดังนั้น การพิจารณาเรื่องศีลกำลัง ซึ่งเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่เน้นพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้รับเป็นพิเศษ จึงต้องเชื่อมโยงกับธรรมล้ำลึกการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงรับภารกิจแห่งความรอดพ้นจากพระบิดา และพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า พระองค์ทรงบังเกิดมาโดยอำนาจของพระจิต พระจิตของพระเจ้าเสด็จมาเหนือพระองค์เมื่อได้รับพิธีล้างจากยอห์น (ยน 1: 32) โดยอำนาจของพระจิต พระองค์ทรงสอน กระทำอัศจรรย์ ภาวนา ทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพโดยอำนาจของพระจิตเช่นกัน และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าทำให้เรามีชีวิตใหม่ พระเจ้าทรงประทานพระจิต “ของขวัญอันยิ่งใหญ่” จากการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ให้แก่ประชากรของพระเจ้า<br /><br />ข) คุณค่า รูปแบบของพิธีและศาสนบริกร<br /><br />ศีลกำลังเป็นการรับพระพรจากพระจิต พระจิตของพระเจ้าทรงกระทำภารกิจของพระองค์นับแต่การสร้างโลกร่วมกับพระบิดา พระบุตรและพระจิตของพระองค์ทรงอยู่เหนือบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่ได้ “รับการเจิม” อันเป็นเครื่องหมายแห่งพละกำลังที่มาจากพระเจ้า รวมทั้งประชากรของพระองค์ด้วย “การเจิมด้วยน้ำมัน” และ “การปกมือ” เป็นเครื่องหมายของการรับพระพรจากพระจิต เป็นเครื่องหมายของการเป็นคริสตชนที่สมบูรณ์อาศัยพระพรของพระจิตเจ้า และเป็นการมอบหมายหน้าที่แก่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กระทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับประเพณีการปกมือเหนือศีรษะ ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติของอิสราเอล และที่บรรดาสาวกได้กระทำเช่นเดียวกัน (กจ 8: 17; 19: 1-7) พระจิตของพระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเหนือแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่ยังได้เสด็จมายังประชากรของพระเจ้า ดังที่ได้เสด็จมาเหนือบรรดาสาวกซึ่งร่วมกันสวดภาวนาหลังจากที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว (กจ 2: 1-13) และดังที่นักบุญเปาโลสอนว่า “ผู้ที่ทรงตั้งเราและท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสตเจ้า และได้ทรงเจิมเรานั้น คือ พระเจ้า พระองค์ทรงประทับตราเราด้วยตราของพระองค์ และประทานพระจิตเจ้าไว้ในดวงใจของเราเป็นเครื่องประกันด้วย” (2 คร 1: 21-22) ความหมายที่นักบุญเปาโล กล่าวนี้เป็นความหมายทางจิตวิญญาณมากกว่าก็จริง แต่เป็นพื้นฐานประการหนึ่งสำหรับการแสดงออกทางเครื่องหมายในพิธีกรรม คือการปกมือและการเจิมด้วยน้ำมัน<br /><br />พระจิตของพระเจ้าทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก “ความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจเราโดยทางพระจิตบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว” (รม 5: 5; 1 คร 13) พระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความสามารถพิเศษต่างๆ (1 คร 12: 4-12) ที่ประทานให้แต่ละคนและเป็นพื้นฐานของพระศาสนจักรทั้งหมด (1 คร 14: 4, 12, 26) ทำให้พระศาสนจักรเป็นดังพระวิหารของพระเจ้า (1 คร 3: 16; อฟ 2: 22) ทรงเป็น “วิญญาณ” ของผู้มีความเชื่อทุกคน (กท 5: 25; 6: 8; รม 8: 9) โดยทางความเชื่อ พระองค์ประทับอยู่แล้วในศีลล้างบาป (1 คร 6: 11; 2 คร 1: 22) และในศีลมหาสนิท (1 คร 12: 13) ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ศีลกำลังมีลักษณะเช่นเดียวกับศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เนื่องจากในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ มีการแยกศีลล้างบาปจากศีลกำลังอย่างชัดเจน กล่าวคือ ศีลล้างบาปเป็นการยกบาป การเป็นคนใหม่ การเข้าสู่การเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้ามีส่วนร่วมในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า ส่วนศีลกำลังทำให้ได้รับพระหรรษทานพิเศษต่างๆ จากพระจิต <br /><br />อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าศีลล้างบาปและศีลกำลังไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่องกันเลย เนื่องจากพระเยซูคริสตเจ้าทรงรับพิธีล้างจากนักบุญยอห์น บัปติส และทรงได้รับพระจิตเจ้าด้วยในขณะรับพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดน นอกจากนั้น นักบุญเปาโลยังสอนด้วยว่า ชีวิตของผู้ที่เชื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้า และกับพระจิตของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ในยุคเริ่มต้นของพระศาสนจักร จึงมีการโปรดศีลล้างบาปและศีลกำลังพร้อมกัน แยกออกจากกันนับแต่ศตวรรษที่ 11 โดยมุขนายกเป็นผู้ประกอบพิธีศีลกำลังด้วยการปกมือและเจิมด้วยน้ำมัน<br /><br />2.1.3) ศีลมหาสนิท (Eucharist) : การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้า<br /><br />ก) ความเป็นมา<br /><br /> ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่พระเยซูคริสตเจ้าจะทรงรับทรมาน พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่เล่าว่า พระองค์ทรงรับประทานอาหารค่ำ (มื้อสุดท้าย) ร่วมกับบรรดาสาวก ขณะที่กำลังรับประทานอยู่นั้น “พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังประทานให้บรรดาศิษย์ตรัสว่า ‘นี่เป็นกายของเราที่ถูกมอบเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด’ ในทำนองเดียวกัน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยตรัสว่า ‘ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเราซึ่งถูกหลั่งเพื่อท่านทั้งหลาย’ (ลก 22: 19-20, 1 คร 11: 24, มก 14: 23, มธ 26: 27) นี่คือที่มาของ “ศีลมหาสนิท” และการประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า “พิธี(มิสซา) บูชาขอบพระคุณ” หรือพิธีมิสซาในภาษาเดิม โดยคริสตชนได้ร่วมพิธีหักปังหรือพิธีขอบพระคุณพระเจ้านี้ นับแต่แรกแล้ว (กจ 2: 46, 1 คร 11: 23) เพื่อเป็นการรำลึกถึงงานเลี้ยงครั้งสุดท้าย และการร่วมส่วนในการรับทรมาน การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า รวมทั้งการรอการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ <br /><br />พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณจึงรวมมิติแห่งอดีต ปัจจุบันและอนาคตอยู่ร่วมกันในกิจกรรมนี้ คริสตชนมีส่วนร่วมกับพระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ อยู่ในอาณาจักรใหม่ของพระองค์ในขณะที่ร่วมพิธีกรรมนี้ เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาใหม่ซึ่งสำเร็จสมบูรณ์ในการกลับคืนพระชนมชีพขององค์พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นทั้งศาสนบริกรสงฆ์ ผู้ถวายและทรงเป็นเครื่องถวายบูชานั้นเอง คริสตชนจึงร่วมสนิทกับพระองค์โดยการรับประทาน “พระกาย” และ “พระโลหิต” ของพระองค์ ร่วมเป็นพระกายเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้า และเป็นหนึ่งเดียวในระหว่างพวกเขาเองด้วย พวกเขาเป็นประชากรใหม่ของพระเจ้า และในฐานะประชากรหรือประชาคมใหม่ก็เป็นพระกายของพระเยซูคริสตเจ้า นี่คือความหมายของ “ศีลมหาสนิท” (Communion) ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียว ในประชาคมเดียวกันซึ่งอยู่ร่วมกันด้วยสายสัมพันธ์แห่งความรัก (Agape)<br /><br />ข) คุณค่าและความหมาย<br /><br /> คริสตชนเชื่อว่า ศีลมหาสนิทไม่ใช่เป็นเพียง “การระลึกถึง” เหตุการณ์ในอดีต แต่เป็นการร่วมในเหตุการณ์เดียวกันนั้น ซึ่ง “เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง” ในลักษณะและในความหมายเดียวกัน กล่าวคือ พระเยซูคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์ และคริสตชนร่วมส่วนในภารกิจของพระองค์ โดยทางการประกอบพิธีศีลมหาสนิท (พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ) พระเยซูคริสตเจ้า ทรงเป็นทั้งผู้ถวายบูชาและเครื่องบูชา โดยศาสนบริกรสงฆ์ (บาทหลวง/มุขนายก) เป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ด้วยเหตุนี้ขนมปังและเหล้าองุ่นในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ จึงไม่ใช่ขนมปังและเหล้าองุ่นธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า “ถ้วยถวายพระพรซึ่งเราใช้ขอบพระคุณพระเจ้านั้น มิได้ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสตเจ้าหรือ? และปังที่เราบินั้น มิได้ทำให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสตเจ้าหรือ?” (1 คร 10: 16) พระศาสนจักรให้ความหมายเกี่ยวกับ “พระกายและพระโลหิต” นี้โดยอธิบายว่าขนมปังและเหล้าองุ่นได้เปลี่ยนความเป็นขนมปังและเหล้าองุ่น กลายเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้มีสิทธิ์และอำนาจในการประกอบพิธีกรรมนี้ ได้แก่ ศาสนบริกรสงฆ์เท่านั้น สัตบุรุษเป็นผู้ร่วมพิธีกรรมในฐานะที่เป็นประชากรของพระเจ้าและมีสังฆภาพร่วมกัน ประชาคมคริสต์ทั้งหมดที่ชุมนุมกันอยู่ ก็ร่วมถวายแต่มีหน้าที่แตกต่างกัน ศีลมหาสนิทคือ “ชีวิต” ของประชาคมนี้<br /><br />ค) ลำดับการต่าง ๆ ของพิธีบูชาขอบพระคุณ <br /><br />พิธีการต่างๆ ของพิธีบูชาขอบพระคุณนั้น ประกอบด้วยลำดับการ (ภาค) ต่างๆ ดังนี้ (คณะกรรมการพิธีกรรมแห่งประเทศไทย, 1994: 1 – 33, โรแบต์ โกสเต, 1996: 113 – 117)<br /><br />1) ภาคบทนำ/เริ่มพิธี<br /><br />ภาคนำหรือเรียกว่า “ภาคเริ่มพิธี” มีลักษณะเป็นบทนำก่อนเข้าสู่สาระสำคัญของพิธีกรรม เริ่มต้นด้วยการทำเครื่องหมายกางเขน เพราะคริสตชนมาชุมนุมกันในนามของพระบิดา พระบุตรและพระจิต ประธานในพิธี (ศาสนบริกรสงฆ์) จะกล่าวทักทายผู้ร่วมพิธีว่า “พระเจ้าสถิตกับท่าน” และเชิญชวนให้ผู้ร่วมพิธียอมรับว่าตนเองเป็นคนบาปเพื่ออ้อนวอนพระเมตตาจากพระเจ้า เมื่อได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้าแล้ว ผู้ร่วมพิธีจะสรรเสริญพระเจ้าด้วยการขับร้องหรือภาวนาบท “สิริโรจนาแด่พระเจ้า” ต่อจากนั้นประธานในพิธีจะเชิญชวนทุกคนให้อธิษฐานภาวนาอย่างเงียบ ๆ สักครู่หนึ่ง แล้วจึงรวบรวมคำภาวนาของทุกคนด้วยการอ้อนวอนพระในนามคริสตชน ขอให้พระองค์ทวีความเชื่อ ความไว้วางใจและความรัก ทั้งขอพระเจ้าโปรดเปิดจิตใจแต่ละคนเพื่อรับฟังพระวาจาของพระเจ้าในภาควจนพิธีกรรมต่อไป<br /><br /> 2) ภาควจนพิธีกรรม<br /><br /> ภาควจนพิธีกรรมนี้ ความจริงพระศาสนจักรไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่เป็น “มรดก” ส่วนหนึ่ง ซึ่งได้รับมาจากการถือปฏิบัติของชาวยิวในพันธสัญญาเดิม ซึ่งถือปฏิบัติกันในโรงสวด (ศาลาธรรม) ของชาวยิว จะเห็นได้ว่าแม้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขและถือปฏิบัติแตกต่างกันบ้าง ณ ที่ต่างๆ ในพระศาสนจักรคาทอลิก ตามกาลเวลาที่ผ่านมา แต่ในเนื้อหาสาระสำคัญแล้ว เหมือนกันมาก นักบุญยุสติน บันทึกไว้ราว ค.ศ. 150 ทำให้เราทราบว่า การถือปฏิบัติเช่นนี้สืบต่อมาจากธรรมเนียมของชาวยิว “มีการอ่านบันทึกความทรงจำของอัครสาวก และงานเขียนของชาวยิว “มีการอ่านบันทึกความทรงจำของอัครสาวก และงานเขียนของบรรดาท่านผู้ทำนายมากน้อยตามแต่เวลาจะอำนวยให้.......ผู้เป็นประธานพูดเตือนใจ .....ต่อจากนั้นทุกคนยืนและภาวนา” (I Apologia, 67) การประกาศยืนยันความเชื่อ และบทภาวนาเพื่อ/ในนามพระศาสนจักรและมนุษยชาติ<br /><br /> 3) ภาคบูชาขอบพระคุณ<br /> <br />เมื่อจบภาควจนพิธีกรรมแล้ว เป็นการนำเครื่องบูชา (ปังและเหล้าองุ่น) เพื่อถวายแด่พระเจ้า ผู้ร่วมพิธีร่วมใจกัน ด้วยการถวายชีวิตของตนพร้อมกับปังและเหล้าองุ่น มีการนำของถวายมา (การแห่เครื่องบูชา) ประธานในพิธีเป็นผู้รับไว้และวางไว้บนพระแท่น จากนั้นมีการถวายกำยาน ตามด้วยการล้างมือของประธานในพิธี ประธานในพิธีจะสวดภาวนาเตรียมถวายบูชาและต่อด้วย “คำภาวนาแห่งบทขอบพระคุณ” ซึ่งมีลักษณะเป็นการโต้ – ตอบรับระหว่างศาสนบริกรสงฆ์ กับสัตบุรุษ ตามมาด้วย “บทเริ่มขอบพระคุณ” ต่อด้วยการขับเพลงศักดิ์สิทธิ์ สรรเสริญพระเจ้า ตามด้วยบทขอบพระคุณ ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญของพิธีบูชาขอบพระคุณเพราะเป็นการทำตามแบบที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงสั่งให้ทำ เพื่อร่วมส่วนในชีวิตของพระองค์ มีการภาวนาบรรยายถึงคำสั่งของพระเยซูคริสตเจ้าเกี่ยวกับพิธีบูชาขอบพระคุณ มีการภาวนาเหนือแผ่นปังและเหล้าองุ่น เพื่อถวายพระพรแด่พระเจ้าและขอพระจิตเจ้าโปรดเปลี่ยนสาระของแผ่นปังและเหล้าองุ่นให้กลายเป็น “พระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า” โดยศาสนบริกรสงฆ์ปกมือเหนือปังและเหล้าองุ่น พลางอ้อนวอนพระบิดาขอให้พระองค์ทรงส่งพระจิต ด้วยการกล่าวว่า “โปรดให้ปังและเหล้าองุ่นนี้ศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า..” <br /><br />ต่อจากนั้นเป็นการประกาศยืนยันธรรมล้ำลึกปัสกา ว่า “พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์ พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” หรือถ้อยคำอื่นๆ นั้นไม่เพียงแต่เป็นวลีแห่งความเชื่อต่อการประทับของพระคริสตเจ้า ณ ที่นั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศยืนยันศรัทธาและความหวังใน “ธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อ” ทั้งหมดด้วย กล่าวคือ แผนการกอบกู้โลกทั้งมวลของพระเป็นเจ้า ซึ่งสำเร็จลงในขั้นสุดยอดแห่งพระทรมานและการกลับคืนพระชนมชีพ การเสด็จสู่สวรรค์และการจะเสด็จกลับมาครั้งสุดท้ายของพระคริสตเจ้าอย่างรุ่งโรจน์ จากนั้นเป็นการวอนขอพระจิตเจ้าเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวและภาวนาเพื่อสมาชิกของพระศาสนจักรและมวลมนุษยชาติ และจบด้วยบทยอพระเกีรยติท้ายบท (Doxology) ที่สำคัญว่า “อาศัยพระคริสตเจ้า พร้อมกับพระคริสตเจ้า และในพระคริสตเจ้า ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพพระองค์ทรงพระสิริรุ่งโรจน์กับพระจิต ตลอดนิรันดร” และมีการตอบรับพร้อมกันว่า “อาแมน”<br /><br />หลังจากนั้น มีการสวดบท “ข้าแต่พระบิดา” ตอบด้วยการมอบสันติสุข (ด้วยการไหว้กันและกัน) อันเป็นเครื่องหมายของการขอโทษและการคืนดีกันก่อนรับพระกายของพระเยซูคริสตเจ้า มีการบิปัง (สัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน) การสวดภาวนา การออกไปรับพระกาย พระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้าในรูปของแผ่นปัง การรับพระเยซูคริสตเจ้าในรูปของแผ่นปังนี้ นับว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งในบูชาขอบพระคุณ ซึ่งมีความหมายหลายประการโดยเฉพาะว่า<br /><br />- เป็นการร่วมสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสตเจ้า<br />- เป็นการร่วมมีส่วนในงานกอบกู้ของพระคริสตเจ้า<br />- เป็นการร่วมสนิทสัมพันธ์กับพี่น้องคริสตศาสนิกชนด้วย<br /><br />คำที่ศาสนบริกรสงฆ์เอ่ยขณะยื่นศีลมหาสนิทในสัตบุรุษว่า “พระกายพระคริสตเจ้าพระโลหิตพระคริสตเจ้า” และสัตบุรุษตอบ “อาแมน” วิธีการรับศีลมหาสนิทมีต่าง ๆ กันตามกาลเวลาที่ผ่านมา ปัจจุบันสัตบุรุษนิยมยืนและรับศีลมหาสนิทด้วยการยื่นมือออกรับ (จากศาสนบริกรสงฆ์) ระหว่างการรับพระกายของพระเยซูคริสตเจ้าในรูปแผ่นปัง มีการขับร้องบทเพลงเพื่อขอบพระคุณพระเจ้า จากนั้นจะเงียบสงบสักครู่หนึ่งและมีบทภาวนาโมทนาคุณพระเจ้า ตามด้วยภาคปิดพิธี<br /><br />4) ภาคปิดพิธี<br /><br /> หลังการรับพระเยซูคริสตเจ้าในรูปแผ่นปัง จะมีการอำลาและการส่งออกไป โดยประธานในพิธีจะกล่าวคำอำลาสัตบุรุษ จบลงด้วยการอวยพรของประธานในพิธี เพื่อส่งให้ผู้ร่วมพิธีออกไปปฏิบัติภารหน้าที่ที่พระเยซูคริสตเจ้ามอบหมาย ตามความหมายของคำลาตินที่ว่า “มิสซา” ที่แปลว่า “ส่งกลับไป”<br /><br />ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ คริสตชน “ทำดังนี้” ตามที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกระทำ และสั่งสอนให้พวกสาวกทำ ศาสนบริกรสงฆ์กระทำเช่นเดียวกับที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกระทำ กล่าวคือ กล่าวคำภาวนา สรรเสริญ ขอบพระคุณพระบิดานามของประชากรของพระองค์เป็นการเปล่งเสียงขอบพระคุณและสรรเสริญพระบิดาสำหรับกิจการทั้งมวลอันน่าพิศวงที่พระเจ้าทรงกระทำมา ตราบจนถึงจุดสูงสุด คือ การประทานพระบุตรมากอบกู้เรา ยิ่งกว่านั้น การกอบกู้นี้ได้ ‘กลายเป็นปัจจุบัน’ สำหรับเรา กล่าวอีกนัยหนึ่งกาลเวลาและระยะทาง ซึ่งทำให้เราห่างจากบูชาที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงถวายเมื่อ 2000 ปีมาแล้วในปาเลสไตน์ได้ถูก “ดึง” ให้เข้าใกล้ เหมือนกล้องส่องทางไกล ฉะนั้น การบูชาของพระองค์มาอยู่เฉพาะหน้าเรา ท่ามกลางเรา ในบัดนี้ พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนและรับเกียรติรุ่งโรจน์ได้ปรากฏพระองค์เฉพาะหน้าเรา วอนขอพระบิดาแทนเราถวายพระองค์แด่พระบิดา และถวายตัวเราพร้อมกับพระองค์ด้วย การที่เรารับพระกายและดื่มพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า ดังที่บรรดาอัครสาวกได้ปฏิบัติมา เป็นการกระทำที่ให้ความสนิทสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นในบูชาของพระองค์<br />2.2) ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการเยียวยารักษา<br />แม้ว่าการดำเนินชีวิตคริสตชนจะเริ่มต้นด้วยศีลล้างบาป สู่การเป็นคริสตชนที่สมบูรณ์ด้วยศีลกำลัง เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้าด้วยศีลมหาสนิท แต่คริสตชนยังคงเป็น “มนุษย์” ที่มีความจำกัด มีความบกพร่องและบ่อยครั้งปฏิเสธที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า จำเป็นต้องมีการบำบัดรักษาจากพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าจะได้ดำเนินต่อไป โดยมีพื้นฐานบนคำสอนและการดำเนินชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรงอภัยบาปและการบำบัดรักษาคนเจ็บป่วย ทำให้พระศาสนจักรสานต่อเจตนารมณ์ของพระเยซูคริสตเจ้าในการนำพระพรของพระเจ้าสู่การรักษาเยียวยาและการช่วยให้รอดอาศัยพระพรของพระจิต ในรูปแบบของพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ ศีลอภัยบาปและศีลเจิมผู้ป่วย<br />2.2.1) ศีลอภัยบาป (Penance) : การคืนดีกับพระเจ้า<br /><br />ก) คุณค่า ความหมายและความสัมพันธ์กับศีลล้างบาป<br /><br />คริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นภาพลักษณ์ของพระองค์ มีวิถีชีวิตมุ่งไปสู่จุดหมายสุดท้าย คือ ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า ความเป็นจริงสูงสุด คริสตชนจึงเข้าใจว่า บาปไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ด้วยตนเอง แต่เป็นสภาพความสัมพันธ์ที่เหินห่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เป็นความบกพร่องของมนุษย์ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า แปลกแยกจากวิถีแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างมา มีผลทำให้มนุษย์เป็นภาพลักษณ์ที่มัวหมอง หันหลังให้กับพระเจ้า และหันหลังให้กับชีวิตที่แท้จริงของตนเอง แต่ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งมนุษย์ ไม่ว่าจะปฏิบัติตนเหินห่างจากพระเจ้ามากสักเพียงใด พระคัมภีร์เป็นพยานในเรื่องนี้ โดยเฉพาะในคำสอนและชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าแสดงให้เห็นถึง “ความรัก” ของพระเจ้าที่มีต่อคนบาป ไม่ได้ทรงรอให้กลับมาเหมือนบิดาผู้ใจดีเท่านั้น แต่ตามหาเหมือนผู้เลี้ยงแกะที่ตามหาแกะที่หายไป เมื่อพบแล้วก็แบกใส่บ่ากลับบ้านด้วยความยินดี พระองค์มิได้ทรงสอนเรื่องการให้อภัยเท่านั้น ทรงให้อภัยด้วย ทรงคบหาสมาคมกับคนบาป รับประทานอาหารกับพวกเขา ทรงเรียกเขาให้เป็นศิษย์ ความสัมพันธ์นี้เป็นความสัมพันธ์ที่ “เสมอภาค” พระเจ้าไม่อาจบังคับมนุษย์ได้ เขามีเสรีภาพที่จะเลือกตัดสินใจเอง ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมคือภาพของเสรีภาพนี้ จนกระทั่งเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงปรากฏมา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยอมรับพระองค์<br /><br />คริสตชนเชื่อว่าบาปมีรากเหง้าอยู่ใน “หัวใจ” ของมนุษย์ พระคัมภีร์เปรียบเทียบชาวอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมว่ามี “หัวใจหิน” แต่พระเจ้าทรงปรารถนาให้พวกเขามี “หัวใจเลือดเนื้อ” ธรรมชาติมนุษย์เป็นธรรมชาติที่มีความบาป แต่พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงให้ธรรมชาติที่มีบาปนี้ตายพร้อมกับพระองค์ มนุษย์คนใหม่ที่มีหัวใจใหม่เกิดขึ้นพร้อมกับการกลับคืนพระชนม์ของพระองค์ การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า คือ การที่มนุษย์ได้ “คืนดี” (Reconciliation) กับพระเจ้า กลับเข้ามาสู่หนทางแห่งความรอดพ้นอีกครั้งหนึ่ง (2 คร 5: 18-21) พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็น “หนทาง ความจริงและชีวิต” สิ่งที่มนุษย์ต้องทำคือ “กลับใจ” ด้วยการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองและดำเนินชีวิตตามวิถีทางใหม่นี้พร้อมกับพระเยซูคริสตเจ้า<br /><br />พื้นฐานของการกลับใจและพื้นฐานของศีลอภัยบาป คือ ศีลล้างบาป (กจ 2: 38; รม 6; 1 รม 6: 1คร 6: 11) ศีลมหาสนิทเอง คือ การประกาศการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสตเจ้า และการให้อภัยบาป (มธ 26: 28, 1 คร 11: 26) พระศาสนจักรเองก็สารภาพบาปของตนเองด้วยเมื่อสวดภาวนาบท “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย” ที่พระเยซูทรงสอน “โปรดให้อภัยความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้ทำผิดต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย” (มธ 6: 12) ทำการใช้โทษบาป เฝ้าระวังตื่นอยู่เสมอ และ “ให้ทาน” เพื่อแสดงออกถึงความสำนึกในบาปและการกลับใจ (มธ 6: 1-18, 9: 15, มก 9: 29) ช่วยเหลือกันในการแก้ไขความผิดต่างๆ (มธ 18: 15)<br /><br />คริสชตนเชื่อว่าพระศาสนจักรได้รับมอบอำนาจจากพระเยซูคริสตเจ้าให้ “ผูก” (มก 3: 27) และ “แก้” (1 ยน 3: 8) จากอำนาจของบาปและความชั่วร้าย สมาชิกของพระศาสนจักรคนใดที่ไม่ยอมแก้ไข ผู้นั้นก็ไม่เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรอีกต่อไป ความเชื่อนี้เป็นพื้นบนแนวคิดเกี่ยวกับการให้อภัยบาป และการตัดบุคคลบางคนออกจากการเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร (Excommunication) แต่ความคิดนี้ได้เลยเถิดไปถึงขั้นที่มีบางพวกบางกลุ่มในยุคแรกที่เห็นว่า พระศาสนจักรซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพระกายศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสตเจ้า จะต้องประกอบด้วย “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” ปราศจากบาปเท่านั้น ใครทำบาป ผู้นั้นขาดจากสมาชิกภาพทันที ซึ่งเป็นแนวคิดที่พระศาสนจักรถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะจริงๆ แล้วมนุษย์ยังเป็นคนบาป และอาจทำบาปได้ แต่เขาต้อง “กลับใจ” และเริ่มต้นชีวิตใหม่ทุกครั้งที่ได้กระทำผิด ไม่สิ้นหวัง ไม่ลงโทษตัวเอง แม้แต่พระเจ้าก็ยังทรงให้โอกาสมนุษย์ก็ควรทำเช่นนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้ พระศาสนจักรจึงถือว่า ศีลอภัยบาป คือศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้นเพื่อให้มนุษย์สามารถ “คืนดี” กับพระเจ้าได้ตลอดเวลา <br /><br />ข) รูปแบบและองค์ประกอบของพิธี<br /><br /> ในยุคแรก ๆ ของพระศาสนจักร การสารภาพบาปกระทำพร้อมกันในภาคแรกของการถวายมิสซาบูชาขอบพระคุณ โดยเฉพาะบาปอันเป็นที่รู้เห็นกันในสาธารณะและมีผลกระทบเป็นที่สะดุดต่อผู้อื่น เช่น การล่วงประเวณีกับคนอื่น ที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน การฆ่าคน ต้องสารภาพบาปดังกล่าวต่อหน้าประชาคม และต้องได้รับ “โทษ” หรือการ “ใช้โทษบาป” ต่อหน้าคนอื่นด้วย ต่อมาในต้นยุคกลาง ประเพณีนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นการสารภาพบาปส่วนตัวกับศาสนบริกรสงฆ์ ซึ่งพิจารณาความผิดและการใช้โทษบาปเป็นกรณีไป อย่างไรก็ดี สำหรับบาปที่รู้กันในสาธารณะก็ยังให้ใช้โทษบาปในที่สาธารณะด้วย พิธีกรรมนี้ได้มีลักษณะที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยพระศาสนจักรได้ออกกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยการใช้โทษบาปต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงหลักเกณฑ์ที่ศาสนบริกรสงฆ์จะพิจารณาแต่ละกรณีไป ว่าผู้ที่ทำบาปควรจะใช้โทษบาปอย่างไร เงื่อนไขของศีลอภัยบาป หรือการที่บุคคลผู้หนึ่งจะ “คืนดี” กับ พระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ได้แก่<br /><br />- ความสำนึกผิด เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด หากไม่มีการ “กลับใจ” ส่วนอื่นๆ ก็ไม่มีความหมาย สำนึกนี้ทำให้เห็นว่า บาปเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ บาปคือสาเหตุแห่งทุกข์และความชั่วร้ายทั้งมวล เขาปรารถนาจะคืนดีกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์<br /><br />- การสารภาพบาป คือการไปสารภาพความผิดบาปหนักต่างๆ กับศาสนบริกรสงฆ์ซึ่งเป็นผู้แทนของพระเจ้า เป็นการแสดงออกถึงการกลับใจของตนเอง พร้อมที่จะได้รับการอภัย<br /><br />- การอภัยบาป ศาสนบริกรสงฆ์ซึ่งเป็นผู้แทนของพระเจ้าได้รับสิทธิอำนาจให้ผูกหรือแก้ได้ จะรับฟังบาปต่างๆ แนะนำวิธีแก้ไขและดำเนินชีวิตใหม่ ให้ชดเชยความผิดในลักษณะที่เหมาะสม และท้ายที่สุดจะยกบาปให้ โดยศาสนบริกรสงฆ์จะสวดบทภาวนาว่า “พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงเมตตาได้ทรงทำให้โลกคืนดีกับพระองค์ อาศัยการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระบุตร และทรงส่งพระจิตมาเพื่ออภัยบาปมนุษย์ ขอพระองค์ประทานพระเมตตาและสันติสุขแก่ท่านอาศัยศาสนบริกรของพระศาสนจักร ข้าพเจ้าจึงอภัยบาปทั้งสิ้นของท่าน เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต”<br /><br />- การใช้โทษบาป การไปสารภาพบาป และการที่ศาสนบริกร สงฆ์ยกบาปให้ยังไม่ได้ หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้นบริบูรณ์แล้ว ผู้ที่กระทำบาปต้องไปชดใช้สิ่งที่ได้กระทำไป ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นต้องทำให้ดีเช่นเดิม การผิดต่อความยุติธรรม และความรักและบัญญัติข้ออื่นๆ จะต้องได้รับการชดเชย ตามที่ศาสนบริกรสงฆ์จะพิจารณาและกำหนดให้<br /><br />พิธีศีลอภัยบาปไม่ใช่เรื่อง “ส่วนตัว” เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของพระศาสนจักรทั้งหมดในฐานะหมู่คณะ (Community) จึงมีการสารภาพบาปพร้อมกันทุกครั้งก่อนพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ และการที่แต่ละคนไปสารภาพบาป ก็กระทำในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพระศาสนจักร เพื่อทำให้พระกายของพระเยซูคริสตเจ้า (พระศาสนจักร) ศักดิ์สิทธิ์ไป<br />2.2.2) ศีลเจิมคนไข้ (Anointing of the Sick) : การบำบัดรักษา<br /><br />ก) ความเป็นมาและความหมาย<br /><br />การเจิมด้วยน้ำมัน เป็นประเพณีที่มีอยู่ทั้งในพระคัมภีร์ มีความหมายว่า พระเจ้าทรงเลือกสรรบุคคลที่ได้รับการเจิมนั้น แต่ก็มีประเพณีที่ใช้น้ำมันชโลมเพื่อรักษาคนไข้ บรรดาสาวกซึ่งพระเยซูทรงใช้ออกไปเทศนา และรักษาคนเจ็บได้ใช้น้ำมัน “ได้ขับไล่ปีศาจจำนวนมาก ได้เจิมน้ำมันผู้เจ็บป่วยหลายคน และรักษาเขาให้หายจากโรคภัย” (มก 6:13) และที่นักบุญยากอบ ได้เขียนไว้ว่า “ท่านใดเจ็บป่วย จงเชิญบรรดาผู้อาวุโสของกลุ่มคริสตชนมา ให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้ป่วย เอาน้ำมันเจิมผู้นั้นในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ยก 5: 14) การรักษาคนเจ็บป่วยที่พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงกระทำ (มก 9: 35) และบรรดาสาวกก็ทำได้ด้วยเช่นกัน (มธ 10: 1, ลก9: 1, มก 6: 7, 13) นี่เป็นเครื่องหมายของอาณาจักรพระเจ้า ที่จะไม่มีความเจ็บป่วยและความตายอีกต่อไป (มธ 10: 4, และ อสย 35: 5, 61: 1) เมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมาพระองค์ทรงชนะบาป อันเป็นเหตุแห่งความเจ็บป่วยและความตาย พระองค์ทรงให้อภัยคนบาป การรักษาคนเจ็บคือเครื่องหมายหนึ่งของการให้อภัยนั้น เนื่องจากผู้ที่หายก็ล้วนแต่แสดงออกถึงความเชื่อในพระองค์ ประเพณีการเจิมคนไข้ด้วยน้ำมันในยุคแรกๆ นั้นมีจุดหมายเพื่อรักษาทั้งกายและวิญญาณ ซึ่งกระทำทั้งเป็นการส่วนตัวในบ้าน โดยญาติพี่น้องเจิมคนเจ็บด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีพิธีการเจิมโดยมุขนายกและศาสนบริกรสงฆ์ในกรณีผู้ป่วยหนัก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นประเพณีเรียกศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ว่า “ศีลทาสุดท้าย” (Extreme Unction) ทำให้เป็นที่หวาดกลัวแก่คริสตชน เพราะเมื่อการรับศีลนี้ต่างก็คิดว่า คนเจ็บคงสิ้นชีวิตแน่ๆ <br /><br />ข) รูปแบบของพิธีกรรม<br /><br /> ศีลเจิมคนไข้ไม่ใช่พิธีกรรมสำหรับคนที่กำลังจะตาย เพื่อเป็นการ “ส่งคนตาย” แต่เป็นพิธีกรรมเพื่อคนที่เจ็บหนัก ซึ่งมีแนวโน้มจะถึงแก่ความตาย เพื่อแสดงว่าพระเยซูคริสตเจ้าซึ่งเสด็จมาพบเขาได้ทรงชนะความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานและความตายแล้ว หากว่าเขาจะต้องตาย เขาก็ตายร่วมกับพระเยซูคริสตเจ้าในธรรมล้ำลึกปัสกาของพระองค์ซึ่งจะทำให้เขากลับคืนชีพอีก อาจเป็นได้ที่การเจิมคนไข้จะทำให้ผู้ป่วยหายด้วย ซึ่งก็อาจเป็นผลที่มาจากจิตใจที่เข้มแข็งความเชื่อและพระเมตตาของพระเจ้าซึ่งไม่อาจหาคำอธิบายได้มากกว่านี้ แต่พิธีศีลเจิมคนไข้ไม่ใช่ “ยาวิเศษ” เพื่อรักษาโรคทางร่างกาย การหายโรคอาจเป็นผลตามมาของการหายโรคทางวิญญาณมากกว่า เพราะว่าพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถทดแทนศีลอภัยบาปได้ คือ ลบล้างบาปได้ แต่ผู้รับเองก็ต้องพร้อมทางจิตใจ มีความสำนึกในบาปด้วย จึงอาจเป็นได้ที่สภาพจิตใจที่เข้มแข็งจะช่วยให้ร่างกายหายจากโรคได้ด้วย ดังบทภาวนาของศาสนบริกรสงฆ์ระหว่างที่เสกน้ำมันในระหว่างพิธีโปรดศีลนี้ว่า<br /><br />“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาผู้ประทานความบรรเทาทุกประการพระองค์ได้ทรง ส่งพระบุตรมาบำบัดความทุกข์เข็ญของบรรดาผู้ป่วย ขอทรงพระกรุณาสดับฟังข้าพเจ้าทั้งหลายภาวนาด้วยความเชื่อ โปรดส่งพระจิตองค์ผู้บรรเทาจากสวรรค์มาเสกน้ำมันนี้ ซึ่งเป็นผลผลิตของธรรมชาติ เป็นน้ำมันสำหรับชูกำลังกายขอให้ผู้ที่ได้รับการเจิมพ้นความเจ็บปวด ความอ่อนแอและความเจ็บไข้ทั้งสิ้น กลับหายเป็นปกติทั้งกายและวิญญาณเทอญ...”<br /><br />ค) การรับศีลเจิมผู้ป่วย<br /><br /> ศีลเจิมคนไข้นี้สามารถรับได้หลายครั้งตามความเหมาะสมในกรณีที่เห็นว่าผู้ป่วยอยู่ในอันตรายหรือป่วยหนัก ญาติพี่น้องจะไปเชิญศาสนบริกรสงฆ์ให้มาประกอบพิธีกรรม โดยปกติศาสนบริกรสงฆ์จะทำพิธีกรรมทั้งหมดหากไม่เป็นการรีบด่วน เริ่มต้นด้วยการอ่านข้อความจากพระคัมภีร์ การเทศน์สอนเตือนใจ การปกมือเหนือศีรษะคนไข้ การเจิมน้ำมันที่หน้าผากและที่มือ ถ้าหากผู้ป่วยหมดสติหรือไม่รู้ตัวก็สามารถทำพิธีได้เช่นเดียวกัน โดยมีเงื่อนไขว่าหากรู้ตัวและอยู่ในสภาพที่ทำได้ก็ควรรับตามประเพณีพิธีกรรมทั้งหมดอีก ในกรณีที่สิ้นชีวิตแล้ว ศาสนบริกรสงฆ์ก็จะไม่ประกอบพิธีแต่จะภาวนาขอพระเจ้าอภัยบาปให้ ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าสิ้นชีวิตหรือยัง ก็สามารถประกอบพิธีได้โดยมีเงื่อนไขว่า “หากท่านยังมีชีวิตอยู่...”<br />2.3) ศีลศักดิ์สิทธิ์ที่เสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในภารกิจของพระศาสนจักร<br /> พระศาสนจักรยังมีศีลศักดิ์สิทธิ์อีกสองประการที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้น ได้แก่ศีลบวชและศีลสมรส อันเป็นการเสริมสร้างเป็นหนึ่งเดียวกันในภารกิจพิเศษในพระศาสนจักรและช่วยเสริมสร้างประชากรของพระเจ้า<br />2.3.1) ศีลบวช<br /><br />ก) ความเป็นมาและความหมาย<br /><br />พระศาสนจักรในฐานะที่เป็นสถาบันศาสนาที่มีรูปแบบทางสังคม มีโครงสร้างซึ่งสืบทอดและพัฒนาขึ้นมาจากประเพณีของอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมของบรรดาอัครสาวกและคริสตชนในยุคแรกๆ อันเนื่องมาจากคำสั่งสอนและการปฏิบัติของพระเยซูคริสตเจ้า และการประยุกต์เข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคมในตะวันตกจากพื้นฐานความเชื่อของการเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นประชาคมของผู้ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าไม่ได้หมายความว่า ทุกคนเท่าเสมอกันในหน้าที่ในประชาคมนี้ ทุกคนมีพระพรพิเศษของพระเจ้าให้ทำหน้าที่พิเศษของตนเองดังที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายย่อมมีหน้าที่ต่างๆ กันไป (1 คร 12) มีการเปรียบเทียบว่า พระศาสนจักรมีแต่เพียงศีรษะเดียว คือ พระเยซูคริสตเจ้าก็จริง แต่ในประชาคมก็มี “ผู้แทน” ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบอำนาจให้กระทำหน้าที่ต่างๆ ประเพณีเหล่านี้คือพื้นฐานความเป็นมาของศีลศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับมุขนายกและศาสนบริกรสงฆ์ หรือศีลบวช <br /><br />ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม กล่าวถึงการที่พระเจ้าทรงเลือกสรรชนชาติอิสราเอลให้เป็นชนชาติศักดิ์สิทธ์ (การเป็นประชากรของพระเจ้า) และพระองค์ทรงเลือกตระกูลหนึ่งจากสิบสองตระกูล (ตระกูลเลวี) (อพย 19: 6) ให้เป็น “ตระกูลสมณะ” มีหน้าที่เป็นตัวแทน (คนกลาง) ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์โดยผ่านทางการประกอบพิธีกรรม ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูในฐานะ “คนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า” ทรงเป็น “สงฆ์แต่องค์เดียว” ได้ทรงเลือกสาวกจำนวนหนึ่งให้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ตลอดเวลา จำนวนและรายชื่อที่ชัดเจนคือ 12 ท่าน ซึ่งเท่ากับจำนวนของตระกูลอิสราเอล (มธ 19: 23, ลก 22: 28-30) สาวกทั้ง 12 เป็นต้นกำเนิดของประชากรใหม่ของพระเจ้า เป็นผู้ช่วยพระเยซูคริสตเจ้าในการประกาศอาณาจักรของพระเจ้า (มก 6: 7-13, ลก 9: 1-6) มีหน้าที่พิเศษ ดังจะเห็นได้จากกิจการต่างๆ หลังจากที่พระเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว เนื่องจากพวกท่านคือผู้ที่ได้ร่วมชีวิต ได้เห็นพระเยซูคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพ (ลก 24: 48-49, กจ 1: 4-11) พวกท่านมีหน้าที่ “รับใช้” เหมือนที่พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงกระทำเป็นแบบอย่าง (มธ 23: 11, ยน 12: 25, มก 9: 35, 10: 43, 20: 26-28) พวกท่านจะต้องเป็นพยานชีวิตและคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า ประกาศอาณาจักรของพระเจ้า ดูแลรักษา “ฝูงแกะ” ของพระองค์ (มธ 9: 35-38) รวมทั้งสาวกอื่นๆ ที่ทำหน้าที่ผู้นำ (1 ปต 5: 2) <br /><br />ในพันธสัญญาเดิม พระยาห์เวห์ทรงเป็น “ศิลา” ของอิสราเอล ในพระวรสาร ปิเตอร์คือ “ศิลา” ของพระศาสนจักร (ดู มธ 16: 13-20) และสาวกทั้งสิบสองคือ “เสาหลัก” หรือรากฐาน (อฟ 2: 20, วว 21: 24) พระเยซูคริสตเจ้าทรงรับทรมานเพื่ออาณาจักร บรรดาสาวกก็ได้รับทรมานเช่นเดียวกัน สาวกทั้ง 12 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “อัครสาวก” ตามความหมายเดิมหมายถึงผู้ที่เป็นพยานถึงการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่พิเศษจากพระองค์ เปาโลจึงเป็นอัครสาวกผู้หนึ่งด้วย แม้ว่าจะไม่เคยร่วมชีวิตกับพระเยซูโดยตรง แต่พระคัมภีร์เล่าว่าท่านได้ “พบ” พระเยซู (ผู้กลับคืนชีพ) ขณะเดินทางไปจับกุมศิษย์ของพระเยซูที่เมืองดามัสกัส และพระองค์ทรงเรียกให้เป็นศิษย์ของพระองค์ ประกาศอาณาจักรของพระเจ้า<br /><br />ข) รูปแบบพิธีกรรม<br /><br /> การแต่งตั้ง (ซึ่งพัฒนาเป็นการบวช) สมาชิกของพระศาสนจักรที่คริสตชนเชื่อว่าได้รับเลือกสรรจากพระเจ้า เข้าสู่กระบวนการศึกษาอบรม (Seminary) และได้รับการรับรองจากพระศาสนจักร ผ่านทางผู้ได้รับมอบหมายให้การศึกษาอบรม (Formator) มีพื้นฐานจากชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าที่ได้มอบแก่อัครสาวกและผู้สืบตำแหน่งของพวกท่าน “ศีลบวช” คงไม่ได้มาจากประเพณีที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกระทำกับบรรดาอัครสาวก แต่เป็นสิ่งที่พระศาสนจักรในยุคแรก โดยการนำของอัครสาวกที่ได้ใช้พิธีการปกมือเหนือศีรษะ เพื่อเป็น “พิธี” การบวชศาสนบริกรสงฆ์ ทั้งนี้ก็เป็นการสืบทอดประเพณีของพันธสัญญาเดิมและที่พระเยซูคริสตเจ้าเองก็ทรงกระทำเมื่อทรงปกมือเหนือคนป่วยที่ทรงรักษา การปกมือเป็นการอวยพร เป็นเครื่องหมายของการเลือกสรรของพระเจ้า พระจิตของพระองค์สถิตในตัวผู้นั้น<br /><br />ค) ลำดับขั้นของศาสนบริกรสงฆ์และผู้ประกอบพิธี<br /><br /> ในส่วนที่เกี่ยวกับลำดับขั้น (Hierarchy) ของศาสนบริกรสงฆ์ ต้องพิจารณาจากประเพณีของพระศาสนจักร ตั้งแต่ในยุคแรกนั้นถือว่ามุขนายก (ผู้อาวุโส) คือ “ศาสนบริกรสงฆ์” ในอันดับแรก ท่านเป็นผู้ได้รับพระหรรษทานของพระจิตเป็นพิเศษ ( 1 คร 2: 14) ศาสนบริกรสงฆ์เป็น “ผู้ช่วย/ผู้ร่วมงาน” ของมุขนายก ประเพณีว่าด้วยการบวชปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนนับแต่ต้นศตวรรษที่สาม ดังในหนังสือที่ว่าด้วยพิธีกรรมการบวชของฮิปโปลิตแห่งโรม (ราว ค.ศ. 230) ที่ระบุว่ามุขนายกจะได้รับการปกมือโดยมุขนายกอื่นๆ ศาสนบริกรสงฆ์จะได้รับการปกมือจากมุขนายก และสังฆานุกร (Deacon) ก็ได้รับการบวชจากมุขนายกเช่นกัน<br /><br />ง) ผลของศีลบวช<br /><br />ศีลบวชหมายถึงการที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสมาชิกของพระศาสนจักรบุคคลบางท่านให้ทำหน้าที่พิเศษ สู่การรับใช้ภารกิจของพระศาสนจักรเป็นพิเศษ ประเพณีของพระศาสนจักรถือว่า ศีลบวชนี้ประทับ “ตรา” ไว้ในบุคคลผู้รับ ทำให้เขาเป็น “ผู้แทนของพระเยซูคริสตเจ้าบนโลก” การเน้น “ตรา” นี้ทำให้มีการจำกัดหน้าที่ของการรับใช้พระศาสนจักรสำหรับศาสนบริกรสงฆ์ สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ได้ให้โอกาสแก่ฆราวาสมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้มากไปกว่านี้ ที่จริงเรื่อง “ตรา” เป็นเรื่องของสถานภาพของบุคคลผู้รับศีลบวช ซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมกับคนอื่นๆ ในฐานะคณะหนึ่งเดียว เขามีหน้าที่พิเศษบางอย่างที่ทำให้เขาแตกต่างไปจากคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้แยกออกจากคนอื่นในกลุ่มคริสตชน พระศาสนจักรสามารถยกเลิกหน้าที่พิเศษสำหรับศาสนบริกรสงฆ์องค์หนึ่งองค์ใดได้ ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวรซึ่งเป็นเรื่องการบริหารมากกว่าที่จะเป็นเรื่องหลักความเชื่อ (Dogma) ศาสนบริกรสงฆ์ได้รับพระหรรษทานพิเศษจากพระจิตจากการรับศีลนี้ ทำให้ร่วมกับหมู่คณะศาสนบริกรสงฆ์ เพื่อร่วมกันทำหน้าที่ประกาศธรรมล้ำลึกความเชื่อ ประกอบพิธีกรรมและให้บริการแก่ประชาคมด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกับมุขนายก โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่อาณาจักรพระเจ้าในวาระสุดท้าย ภารกิจของศาสนบริกรสงฆ์จึงเป็นการเตรียมการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสตเจ้าและทำให้เป็นจริงในขณะปัจจุบัน<br />2.3.2) ศีลสมรส<br /><br />ก) ความเป็นมาและความหมาย<br />ครอบครัวเป็นสถาบันแรก และพื้นฐานสำคัญที่สุดของสังคม ประวัติศาสตร์มนุษยชาติแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงฉันสามีภรรยาและบุตร ที่เกิดจากความสัมพันธ์นี้ ไม่ได้เป็นหน่วยชีวิตที่เป็นอยู่ในตัวมันเอง แต่มีความสัมพันธ์กับเอกภพ และอำนาจสูงสุดแห่งเอกภพนั้น เป็นภาพลักษณ์ของเอกภาพในเอกภพนั้น การแต่งงาน การมีชีวิตครอบครัวเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญของมนุษย์ <br /><br />คำสอนเรื่องการแต่งงานในพระคัมภร์ภาคพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ความรอดพ้นในประวัติความเชื่อของชาวอิสราเอลก็มีลักษณะคล้ายกัน การเล่าเรื่องการสร้างมนุษย์ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงฉันสามีภรรยาเป็นกฎธรรมชาติ “มนุษย์เพียงคนเดียวนั้น ไม่ดีเลย เราจะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะกับเขาให้” (ปฐก 2: 18) พระองค์ทรงอวยพรว่า “จงมีลูกมาก และทวีจำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน” (ปฐก 1: 28) ด้วยเหตุนี้ ชาวอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมจึงเชื่อว่า มนุษยชาติเป็นแต่ครอบครัวเดียว การแต่งงานไม่ใช่การสร้างครอบครัวใหม่ แต่เป็นการสืบทอดครอบครัวเดียวนี้ให้คงอยู่และแพร่หลายต่อไป <br /><br />ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ พระเยซูคริสตเจ้าทรงให้คุณค่าและความหมายของการแต่งงาน พระองค์ยังยืนยันว่าการแต่งงานหย่าร้างไม่ได้ (มธ 5: 32 และ 19: 9) นักบุญเปาโลอธิบายว่า การแต่งงานเป็นสิ่งสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูคริสตเจ้ากับพระศาสนจักร (อฟ 5: 21-33) ในที่นี้ไม่ได้เป็นแต่การเปรียบเทียบ แต่เป็นการยืนยันว่าการแต่งงานมีรากฐานอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูคริสตเจ้ากับพระศาสนจักรของพระองค์ การแต่งงานไม่ใช่เรื่อง “ส่วนตัว” เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกลุ่มคริสตชนซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า และเป็นพระกายของพระเยซูคริสตเจ้า นี่คือเอกภพเล็กในเอกภพสากล ซึ่งสัมพันธ์กันเป็นองคาพยพ (Organic one) ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาในฐานะเป็นสถาบันครอบครัวที่พวกเขาร่วมกันก่อตั้งขึ้น จึงเป็นสถาบัน “ศักดิ์สิทธิ์” ความสัมพันธ์นี้จึงไม่สามารถจะยกเลิกกันเองได้ หรืออีกนัยหนึ่ง หย่าร้างกันมิได้ <br /><br />ข) พื้นฐานและอัตลักษณ์การแต่งงานแบบคริสตชน<br /><br /> การแต่งงานของคริสตชนถือเป็น “ศีลศักดิ์สิทธิ์” ที่พระเจ้าประทานพระพรพิเศษต่อการดำเนินชีวิตครอบครัว จึงจำเป็นต้องมีพื้นฐานอยู่บนความสมัครใจ ของบ่าวสาวที่มีความรักซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ และมอบตนเองแก่กันและกันด้วยการดำเนินชีวิตตามคำสัญญาแห่งความรักว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันและกันจนตลอดชีวิต อัตลักษณ์การแต่งงานของคริสตชนที่สำคัญ ได้แก่<br /><br />- การเป็นหนึ่งเดียวกัน ในความหมายของการเท่าเสมอกันของบ่าวสาวในชีวิตครอบครัว ซึ่งเรียกร้องให้เป็นแบบ “สามีเดียว ภรรยาเดียว”<br /><br />- การหย่าร้างไม่ได้ เนื่องจากพระเจ้าทรงโปรดรวมให้บ่าวสาวเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น จึงหย่าร้างหรือแยกจากกันไม่ได้<br /><br />- การแต่งงานมีเป้าหมายเพื่อช่วยกันและกันสู่ชีวิตที่สมบูรณ์และการน้อมรับ “บุตร” ที่พระเจ้าประทานให้เพื่อการมีส่วนร่วมในการสร้างของพระเจ้า และเป็นหน้าที่ของบิดามารดาในการอบรมเลี้ยงดูบุตรที่พระเจ้าประทานให้อย่างดี<br /><br />ค) รูปแบบของการประกอบพิธีกรรม<br /><br /> พิธีแต่งงานในศาสนาคริสต์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงศตวรรษที่สี่กระทำกันตามบ้านคริสตชนเช่นเดียวกับการร่วมสวดภาวนาและการประกอบพิธีกรรมอื่นๆ เริ่มมีพิธีแต่งงานในโบสถ์ตั้งแต่ราวศตวรรษที่สี่เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม พิธีการแต่งงานก็มีลักษณะเรียบง่ายมาจนถึงปัจจุบัน โดยผู้ประกอบพิธี คือ เจ้าบ่าวและเจ้าสาวนั่นเอง ศาสนบริกรสงฆ์เป็นแต่เพียงพยานทางการของพระศาสนจักร รวมทั้งกลุ่มคริสตชนที่ร่วมอยู่ในพิธีนั้นด้วย เพื่อแสดงว่า การแต่งงานมีมิติทางสังคมของพระศาสนจักรและเกี่ยวโยงถึงความหมายของอาณาจักรพระเจ้าด้วย เนื่องจากความหมายของการแต่งงานหรือความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยาอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ระหว่างพระเยซูคริสตเจ้ากับพระศาสนจักรของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ “มนุษย์จึงไม่มีสิทธิ์แยกทั้งสองคนจากกัน” พิธีการแต่งงานจึงเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นเครื่องหมายและเครื่องมือสำหรับความรอดพ้น เป็นพระหรรษทานพิเศษที่พระเจ้าประทานให้แก่สามีภรรยาเพื่อจะได้ดำเนินชีวิต เป็นพยานถึงความสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ความรักที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงมีต่อพระศาสนจักร<br /><br />ตามปกติ พิธีกรรมการแต่งงานจะกระทำระหว่างพิธีบูชาขอบพระคุณ หลังจากภาควจนพิธีกรรม ศาสนบริกรสงฆ์จะไปยืนต่อหน้าคู่บ่าวสาว โดยมีพยานเป็นชายหญิงอีกคู่หนึ่งอยู่ด้วย ส่วนสำคัญที่สุดของพิธีกรรมนี้อยู่ที่คำประกาศของคู่แต่งงานที่ว่า “ฉันขอรับเธอเป็นภรรยา (สามี) และขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเธอทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย และจะยกย่องให้เกียรติเธอจนกว่าชีวิตจะหาไม่” และเมื่อทั้งสองสวมแหวน ซึ่งศาสนบริกรสงฆ์เสกนั้นแก่กัน พร้อมกับกล่าวว่า “ขอให้รับแหวนวงนี้ เพื่อเป็นเครื่องหมายถึงความรักและความซื่อสัตย์ของฉัน”<br /><br />ข. การฉลองพิธีกรรมอื่นๆ ได้แก่การประกอบพิธีสิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์<br /><br />นอกจากการประกอบพิธีกรรม (พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดประการ) พระศาสนจักรคาทอลิกยังมีพิธีกรรมในรูปแบบที่เรียกว่า สิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์ อันหมายถึง เครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคล้ายกับศีลศักดิ์สิทธิ์ พระศาสนจักรได้ตั้งสิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเพื่อให้คริสตชนได้รับพระพรจากพระเจ้าอาศัยคำภาวนาของพระศาสนจักร เพื่อการเตรียมพร้อมที่จะรับผลของศีลศักดิ์สิทธิ์ต่อไป (CCC, 1994: 1667 – 1690)<br /><br />1) ลักษณะของสิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์<br /><br />สิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่พระศาสนจักรตั้งขึ้นเพื่อตระเตรียมมนุษย์ให้ได้รับผลของศีลศักดิ์สิทธิ์และทำให้สภาพแวดล้อมของชีวิตตามสถานะของแต่ละคนได้รับพระพรจากพระเจ้า โดยขึ้นกับความเชื่อศรัทธาของแต่ละคนที่ร่วมพิธีนั้น ๆ และการอธิษฐานภาวนาของพระศาสนจักรที่วอนขอพระพรจากพระเจ้าบางประการแก่ผู้ร่วมพิธี<br /><br />2) รูปแบบ/ประเภทของสิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์<br /><br />รูปแบบของสิ่งคล้ายศีลศักดิ์สิทธิ์ได้แก่ การทำเครื่องหมายกางเขน การพรมน้ำเสก การปกมือ การอวยพร (การอวยพรบุคคล อาหาร วัตถุสิ่งของและสถานที่) หรือการเสกซึ่งถือเป็นการวอนขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อบุคคลหรือสิ่งนั้น ๆ นอกจากนั้นยังมีกิจศรัทธาต่าง ๆ ที่พระศาสนจักรส่งเสริมให้คริสตชนปฏิบัติเพื่อรับพระพรจากพระเจ้า ได้แก่ การให้ความนับถือพระธาตุ การไปจาริกแสวงบุญสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ การแห่ การเดินรูปสิบสี่ภาค (ระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า) การสวดสายประคำ การทำนพวาร การอดเนื้อ อดอาหาร ฯลฯ เพื่อเป็นการส่งเสริมความศรัทธาของคริสตชนต่อพระเจ้า <br /><br />นอกจากนั้นยังมีธรรมเนียมการฝังศพแบบคริสตชน ถือว่าเป็นการประกอบพิธีกรรมของพระศาสนจักร เพื่ออำลาและภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ และการถวายผู้ล่วงลับแด่พระเจ้า<br /><br />ค. ปีพิธีกรรมและวันฉลองที่สำคัญ<br /> <br />คริสตชนรับธรรมเนียมของศาสนายูดาห์ที่ได้ทำวันฉลองต่าง ๆ ในวันที่กำหนดไว้ตลอดปี ตามธรรมเนียมคริสตชนที่สืบเนื่องจากอัครสาวกให้ความสำคัญแก่วันที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพ ซึ่งคริสตชนเรียกว่า “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ คริสตชนมาร่วมฉลองธรรมล้ำลึกในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า ตามแผนการแห่งความรอดพ้น จึงมีการกำหนดให้วันอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของการชุมนุมทางพิธีกรรม ด้วยการมาฟังพระวาจาของพระเจ้าและร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณ เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงบังเกิด ดำเนินชีวิต รับทรมาน สิ้นพระชนม์ การกลับคืนชีพและรับเกียรติรุ่งโรจน์ อาศัยการเฉลิมฉลองในพิธีกรรม (CCC, 1994: 1163 – 1199)<br /><br />1) ความหมายของปีพิธีกรรม<br /><br />พระศาสนจักรได้นำธรรมล้ำลึกในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้ามาเฉลิมฉลองในพิธีกรรมตลอดปี โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่การเฉลิมฉลองการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้า (ซึ่งคริสตชนเรียกว่า “สมโภชปัสกา”) และจัดการเฉลิมฉลองเป็นวงจรตลอดปี การสมโภชตามเวลาระหว่างปี มีสองวงจรที่สำคัญ คือ วันคริสตสมภพ กับวันปัสกา วันสมโภชทั้งสองนี้ (คริสตสมภพและปัสกา) มีลักษณะเป็น “วาระ” หรือ ช่วงเวลา หรือเทศกาล เริ่มด้วยช่วงเวลาของการเตรียมจิตใจก่อนการเฉลิมฉลอง เรียกว่าเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (เตรียมคริสตสมภพ) และเทศกาลมหาพรต (เตรียมปัสกา) เพื่อให้คริสตชนมีความพร้อมในการเฉลิมฉลองการสมโภชสำคัญทั้งสอง (การบังเกิดและการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้า) การฉลองทั้งสองดำเนินไปพร้อมทั้งมีตรีวารสามวันก่อนวันฉลองปัสกา (ซึ่งคริสตชนเรียกว่าวันพฤหัสศักดิ์สิทธ์ ศุกร์ศักดิ์สิทธ์และเสาร์ศักดิ์สิทธิ์) ส่วนช่วงเวลาที่เหลือที่อยู่นอกช่วงเวลาการเฉลิมฉลองที่สำคัญทั้งสอง (คริสตสมภพและปัสกา) เรียกว่า “นอกเทศกาล” หรือ “เทศกาลธรรมดา” (Ordinary Time) เพื่อรำลึกถึงธรรมล้ำลึกในการดำเนินชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า <br /><br />ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การเฉลิมฉลองพิธีกรรมของคริสตชนมีลักษณะเป็น “ปีพิธีกรรม” เพราะมีการกำหนดการเฉลิมฉลองตลอดปี อันประกอบด้วยเทศกาลคริสตสมภพและเทศกาลปัสกา (ก่อนถึงเทศกาลทั้งสอง มีช่วงเวลาของการเตรียมจิตใจ) ส่วนที่อยู่นอกกำหนดเวลาในเทศกาลทั้งสอง เรียกว่าเทศกาลธรรมดา นอกจากนั้น คริสตชนยังมีธรรมเนียมการเฉลิมฉลองวันสำคัญอื่น ๆ ของพระเยซูคริสตเจ้า พระนางมารีย์ และบรรดานักบุญต่าง ๆ ในช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสตสมภพ ปัสกาและเทศกาลธรรมดาด้วย การเรียงลำดับเวลาการเฉลิมฉลองพิธีกรรมตลอดปี จึงมีลักษณะและความหมายในภาพรวม ดังนี้ (เชษฐา ไชยเดช, ม.ป.ป.) <br /><br /> <br /><br />2) เทศกาล/วันฉลองสำคัญในพิธีกรรม<br /><br />การเฉลิมฉลองพิธีกรรมของคริสตชนมีลักษณะเป็นวงจรตลอดปี (ปีพิธี กรรม) เริ่มต้นตั้งแต่เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระเยซูคริสตเจ้าจนสิ้นสุดปีปฏิทินพิธีกรรมโอกาสสมโภชพระเยซูคริสตเจ้า กษัตริย์แห่งสากลโลก (สัปดาห์ที่ 34 ของเทศกาลธรรมดา) การเฉลิมพิธีกรรมในรอบปีมีศูนย์กลางอยู่ที่ “พิธีบูชาขอบพระคุณ” ดังนั้น การฉลองพิธีกรรมโอกาสต่าง ๆ ในรอบปี (พิธีบูชาขอบพระคุณ) จึงเน้นการฉลองตามความหมายของการฉลองนั้น ๆ ในรูปแบบของการฟังพระวาจาของพระเจ้าและบทภาวนาในพิธีบูชาขอบพระคุณ เทศกาล/วันฉลองสำคัญในพิธีกรรมประจำปีเรียงลำดับความสำคัญได้ดังนี้ (สำราญ วงศ์เสงี่ยม, 1992: 13-26)<br /><br />2.1) เทศกาลในวงปัสกา และการเตรียมฉลอง<br /><br />2.1.1) สมโภชปัสกา<br /><br />ตามปกติ คริสตชนมาร่วมฉลองวันพระเจ้าทุกวันอาทิตย์ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์แห่งการกอบกู้ของพระเจ้า ต่อมาในช่วงคริสตศตวรรษแรก ๆ มีการกำหนด ช่วงเวลาในรอบปีให้เป็นช่วงเวลาการฉลองปัสกาเป็นพิเศษ ถือว่ามีความสำคัญที่สุดในการเฉลิมฉลองพิธีกรรมของคริสตชน เพราะเป็นการระลึกถึงพระทรมาน การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้า การฉลองปัสกาไม่ใช่ฉลองแค่วันเดียว แต่เป็นช่วงเวลา (เทศกาล) ที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี มีการร้องเพลงอัลเลลูยา ซึ่งแปลว่า "จงสรรเสริญพระยาห์เวห์ จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า" โดยกำหนดให้เทศกาลปัสกาเริ่มต้นตั้งแต่วันอาทิตย์ปัสกาจนจบวันสมโภชพระจิตเจ้า โดยก่อนวันอาทิตย์ปัสกา มีตรีวารเพื่อรองรับการฉลอง (วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์และเสาร์ศักดิ์สิทธิ์) วันสมโภชปัสกาเป็นการสมโภชที่ไม่กำหนดวันที่แน่นอนตายตัว ในปฏิทิน การฉลองปัสกามีสองภาค คือ ภาคมหาทรมาน ที่เน้นการเป็นทุกข์ กลับใจและใช้โทษบาป ส่วนภาคสองเป็นการเฉลิมฉลองการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้า และเน้นการฉลองระหว่างคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ถึงวันอาทิตย์ปัสกา การสมโภชปัสกาเป็นการเฉลิมฉลอง “การผ่าน” ความทุกข์สู่ความชื่นชมยินดีในพระทรมาน การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อคริสตชนจะได้มีส่วนร่วมชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า <br /><br />2.1.2) สมโภชพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จสู่สวรรค์และสมโภชพระจิตเจ้า<br /><br />ช่วงเทศกาลปัสกา มีวันสมโภชที่สำคัญสองอย่าง คือ วันสมโภชพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ (The Ascension) อยู่ราว ๆ 40 วันหลังจากวันอาทิตย์สมโภชปัสกา เป็นการฉลองพระเยซูผู้ทรงกลับคืนชีพเสด็จสู่สวรรค์ ตามที่บันทึกในหนังสือกิจการอัครสาวก เน้นการระลึกถึงพระเยซูได้รับชัยชนะเหนือความตายแล้ว ทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ ดังที่เราภาวนาในบทข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้าว่า "เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับเบื้องขวาพระบิดา พระองค์จะเสด็จมาอีก ด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ เพื่อพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย รัชสมัยของพระองค์ จะไม่มีสิ้นสุด" <br /><br />นอกจากนั้น ยังมีการฉลองที่สำคัญอีกวันหนึ่งคือ สมโภชพระจิตเจ้า (ราว 50 วันหลังวันสมโภชปัสกา) ซึ่งถือเป็นวันปิดเทศกาลปัสกา เป็นวันสมโภชที่สรุปเทศกาลปัสกา เป็นการระลึกถึงการเสด็จมาของพระจิตเจ้าที่ประทับในหมู่บรรดาอัครสาวกพร้อมกับพระนางมารีย์และบรรดาสตรีที่เลื่อมใสในพระเยซูคริสตเจ้า ทำให้พวกท่านไปประกาศเผยแผ่ความรักของพระเจ้า ตามพันธกิจที่พระเยซูทรงมอบแก่พวกเขา วันสมโภชพระจิตเจ้าจึงเป็นวันสถาปนาพระศาสนจักรเป็นวันเกิดอย่างแท้จริง โดยอาศัยบรรดาอัครสาวกประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พร้อมทั้งการเฉลิมฉลองพระของพระจิตที่ประทานแก่พระศาสนจักร<br /><br />2.1.3) การเตรียมปัสกา (เทศกาลมหาพรต)<br /><br />พระศาสนจักรกำหนดให้มีช่วงเวลา 40 วันก่อนวันสมโภชปัสกา เป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมจิตใจ หรือเรียกว่าเทศกาลมหาพรต (Lent) เพื่อเป็นโอกาสกลับใจใช้โทษบาปของคริสตชน เพื่อให้การเฉลิมฉลองปัสกาที่กำลังเตรียมอยู่นี้เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น การประกอบพิธีกรรม (พิธีบูชาขอบพระคุณ) เทศกาลมหาพรตเริ่มต้นด้วยวันพุธรับเถ้า (วันพุธก่อนสัปดาห์แรกในเทศกาลมหาพรต) เพื่อเตือนใจให้สำนึกผิด กลับใจและเชื่อพระวรสาร ในช่วงมหาพรตศาสนบริกรสงฆ์จะใส่อาภรณ์สีม่วง รวมถึงพระวาจาและบทภาวนาต่าง ๆ จะเน้นให้คริสตชนสำนึกตนเองและปรับปรุงตนเองให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตมุ่งสู่ความรอดพ้น ตามแนวทางของพระเยซูคริสตเจ้าวันอาทิตย์ที่หกในเทศกาลมหาพรต คือ วันอาทิตย์ใบลานซึ่งเป็นการเริ่มสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นการระลึกถึง การที่พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า สองสามวันก่อนที่พระองค์ทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน คริสตชนจะไปรวมกันนอกวัด ประธานในพิธีเสกใบลาน หรือกิ่งไม้ แล้วแต่วัฒนธรรมท้องถิ่นและตั้งขบวนแห่เข้าวัดเพื่อร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ ระหว่างนั้น มีการอ่านบทอ่านเกี่ยวกับพระทรมาน <br /><br />2.2) เทศกาลในวงพระคริสตสมภพ (Christmas) และการเตรียมฉลอง<br /><br />2.2.1) เทศกาลพระคริสตสมภพ<br /><br />วันที่ 25ธันวาคมของทุกปี เป็นวันฉลองการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้า เป็นการฉลองธรรมล้ำลึกที่พระเจ้าบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นการเฉลิมฉลอง “ข่าวดีแห่งความรอดพ้น” ที่พระเจ้าทรงปฏิบัติตามพันธสัญญาที่จะช่วยมนุษยชาติบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ วันพระคริสตสมภพยังเน้นการฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ที่มีนักบุญโยเซฟ พระนางมารีย์และพระเยซู และทุกครอบครัว เป็นการฉลองชีวิตที่มาจากพระเจ้าก่อนที่เราจะกลับไปหาพระองค์ การฉลองคริสตสมภพเป็นช่วงเวลา (หรือเทศกาล) แห่งความชื่นชมยินดีในการบังเกิดของพระเยซูคริสตเจ้า พระผู้ไถ่กู้จากความทุกข์ (บาปและความตาย) สู่ความรอดพ้นในพระเจ้า ระหว่างเทศกาลคริสตมาสมีวันสมโภชพระคริสตเจ้าแสดงออก (วันที่ 6 มกราคม) เพื่อเฉลิมฉลองการเผยแสดงของพระเยซูคริสตเจ้าแก่มนุษยชาติทั่วโลก (ความรอดพ้นพ้นครอบคลุมถึงมนุษยชาติทุกคน) และเทศกาลคริสตมาสจะไปสิ้นสุดที่การฉลองการรับพิธีล้างของพระเยซูคริสตเจ้า <br /><br />2.2.2) การเตรียมฉลองคริสตมาส (เทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ)<br /><br />วงจรพิธีกรรมเริ่มจากเวลาเตรียมฉลองคริสตมาส ที่เรียกว่าเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระเยซูคริสตเจ้า (Advent) เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ สี่สัปดาห์ก่อนสมโภชพระคริสตสมภพ พระศาสนจักรกำหนดให้มีช่วงเวลา 4 สัปดาห์สำหรับการเตรียมรับเสด็จพระเยซูคริสตเจ้า เป็นการรอคอยด้วยความชื่นชมยินดี การเฉลิมฉลองพิธีกรรมในช่วงนี้มีจุดเน้นอยู่ที่การรอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสตเจ้า เป็นการระลึกถึงการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และการรอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ในวาระสิ้นโลก<br /><br /> 2.3) การฉลองพระนางมารีย์และบรรดานักบุญต่าง ๆ ในรอบปี<br /><br /> นอกจากนี้แล้ว ยังมีวันฉลองที่สำคัญต่างๆ ซึ่งปรากฏในปฏิทินของพระศาสนจักร วันฉลองเหล่านี้ คือ เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า ส่วนหนึ่งของพระนางมารีย์หรือของพระศาสนจักร เช่น วันระลึกถึงผู้ตาย วันฉลองนักบุญทั้งหลาย นอกนั้นในช่วงวันธรรมดา พระศาสนจักรก็จัดให้ระลึกถึงนักบุญต่างๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อให้ท่านเหล่านั้นเป็นแบบอย่างแห่งการดำเนินชีวิต และให้ท่านเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ให้สามารถดำเนินชีวิตไปถึงที่สุดได้เช่นเดียวกับท่านเหล่านั้น การฉลองต่างๆ เหล่านี้จะปรากฏในเนื้อหาภาคแรกของพิธีบูชาขอบพระคุณ<br /><br />ดังนั้น หลักปฏิบัติพื้นฐานของชีวิตคริสตชนในส่วนแรก คือ การสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ โดยเฉพาะตามแบบฉบับชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า ตามธรรมเนียมปฏิบัติและการสอนทางการของพระศาสนจักร ที่ให้ความสำคัญต่อการภาวนาและการร่วมพิธีกรรม เพื่อยกจิตใจหาพระเจ้าตามรูปแบบที่พระองค์ประทานแก่พระศาสนจักร เพื่อร่วมเฉลิมฉลองชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า ทำให้คริสตชนเป็นหนึ่งเดียวและเป็นประชากรของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิตสอดคล้องกับแผนการความรอดพ้นที่พระเจ้าประทานแก่มนุษยชาติ ผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้า ภายใต้การนำของพระจิตเจ้าที่ประทับในพระศาสนจักรของพระองค์ <br /><br />2. กฎเกณฑ์และพระหรรษทาน <br /><br />2.1 คุณค่า ความหมายและเป้าหมาย<br /><br />คริสตชนเชื่อว่า พระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสตเจ้ามามอบแบบอย่างชีวิต ในการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในรูปแบบของการภาวนาและการร่วมพิธีกรรม (การปฏิบัติคารวกิจ) แล้ว พระองค์ได้มอบ “คู่มือ” สู่การปฏิบัติตนของคริสตชน เพื่อเป็นแนวปฏิบัติเสริมสร้างความรักในพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ในรูปแบบของกฎเกณฑ์และพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานให้ แนวทางการดำเนินชีวิต หรือคู่มือที่พระเจ้าประทานให้ จึงมีพื้นฐานบนความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์บรรลุถึงความรอดพ้นในพระองค์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าที่รับรองและมอบแนวทาง (บัญญัติแห่งความรัก) ทำให้ “คู่มือปฏิบัติ” ที่พระเจ้าประทานให้มีคุณค่าและความหมาย ในฐานะเป็น “แนวทางสู่ความรอดพ้น” โดยย้ำถึงความทุ่มเท ความตั้งใจดีของมนุษย์ในการปฏิบัติตามด้วยความอ่อนน้อมและสำนึกในพระเมตตาของพระเจ้า (CCC, 1994: 1949 – 1986)<br /><br />การปฏิบัติตามคู่มือ (กฎเกณฑ์ต่าง ๆ หรือธรรมบัญญัติต่าง ๆ ) ไม่ได้มีคุณค่าหรือมีเป้าหมายในตนเอง และคุณค่าไม่ได้อยู่ที่การปฏิบัติตามลายลักษณ์อักษรอย่างเคร่งครัด แต่เป็น “เครื่องมือ” หรือแนวทางที่เรียกร้องให้มนุษย์ปฏิบัติด้วยความสำนึกในศักดิ์ศรีของตน ในฐานะที่มนุษย์เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า ได้รับการเชื้อเชิญจากพระเจ้าให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิต แต่เนื่องจากมนุษย์ยังมีขอบเขตจำกัด เสรีภาพของมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์เหมือนพระเจ้า จึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อความรอดพ้นในรูปแบบของธรรมบัญญัติและพระพรแห่งความรอดพ้น (พระหรรษทาน) อันเป็นเครื่องมือสู่ความจริงและความดี อาศัยความรักเป็นพื้นฐาน เพื่อให้การดำเนินชีวิตของมนุษย์สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิต คือ การบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ (ความรอดพ้น) ในพระเจ้า<br /><br />2.2 ความชอบธรรมและพระหรรษทาน<br /><br />คำสอนและหลักปฏิบัติเรื่องความชอบธรรมและพระหรรษทาน เป็นสิ่งควบคู่กันเสมอในการอธิบายถึงวิถีชีวิตมนุษย์เพื่อบรรลุถึงความรอดพ้น เนื่องจากคริสตชนมีพื้นฐานอยู่ที่ความเชื่อในพระเจ้าซึ่งเป็นจุดกำเนิดและเป้าหมายปลายทางของสรรพสิ่ง ทรงเนรมิตสรรพสิ่ง โดยเฉพาะมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างอย่างเอาใจใส่และประทานพระพรเพื่อความรอดพ้นสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า แม้ว่าพระเจ้าจะสร้างมนุษย์ให้ความจำกัด ต้องอยู่ในประวัติศาสตร์ อยู่ในเงื่อนไขของเวลาและสถานที่ แต่พระเจ้าทรงโปรดเมตตาประทาน “พระพร” (ศักยภาพ) ให้มนุษย์สามารถบรรลุถึงพระองค์ได้ แม้ว่ามนุษย์จะใช้พระพรที่พระองค์ประทานให้ในการปฏิเสธพระเจ้า ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเสื่อมเสียไป จนทำให้มนุษย์ไม่สามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ (ความรอดพ้น) ในพระเจ้าได้ แต่พระเจ้ายังคงรักและกอบกู้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าให้กลับคืนมาดังเดิม โดยส่งพระเยซูคริสตเจ้ามาสานสัมพันธ์ ด้วยการถวายพระองค์เองชำระล้างความบกพร่องและการปฏิเสธพระเจ้าของมนุษย์ ด้วยการถวายชีวิตด้วยความรัก โดยการรับทรมาน ตายและกลับคืนชีพ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้ากลับคืนมาดังเดิม ทำให้การดำเนินชีวิตของมนุษย์มีคุณค่าและความหมาย ในฐานะเป็นการเดินทางเพื่อมุ่งสู่พระเจ้า ตามแผนการแห่งความรอดพ้นที่พระเจ้าเป็นผู้เริ่มต้น กอบกู้และประทานพระพร โดยมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นพื้นฐาน เพื่อให้มนุษย์สามารถก้าวพ้นขอบเขตจำกัด ด้วยการใช้ศักยภาพที่พระเจ้าประทานให้ในการบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า ทำให้ประวัติศาสตร์มนุษยชาติมีคุณค่าและความหมายในฐานะเป็น “ประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น” (CCC, 1994: 1987 – 2029)<br /><br />2.2.1 ความชอบธรรม<br /><br /> คริสตชนเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาอย่างบังเอิญ แต่มีพระเจ้าเป็นจุดกำเนิดของชีวิต พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นภาพลักษณ์ของพระองค์ ดังนั้น ชีวิตมนุษย์จึงศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่วาระปฏิสนธิเลยทีเดียว เพราะแสดงให้เห็นถึงอำนาจในการสร้างของพระเจ้า พระองค์ทรงวางแผนการให้มนุษย์แต่ละคนสามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์ของชีวิต โดยประทาน “พลังแห่งความก้าวหน้า” อันเป็นพลังชีวิตที่ทำให้มนุษย์สามารถบรรลุถึงพระเจ้า ชีวิตมนุษย์จึงศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีพระเจ้าเป็นพื้นฐาน ในฐานะที่พระองค์เป็นจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางของมนุษย์<br /><br />ก. ความชอบธรรมคือ ภาวะแห่งการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า<br /><br />มนุษย์ในสภาวะดั้งเดิมที่พระเจ้าทรงสร้าง นอกจากจะเป็นความดีร่วมกับสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างแล้ว (ทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างล้วนดีทั้งสิ้น) มนุษย์ยังได้รับสภาวะพิเศษที่ต่างจากสิ่งอื่น ๆ เนื่องจากมนุษย์มีความศักดิ์สิทธิ์และความชอบธรรม กล่าวคือ (วุฒิชัย อ่องนาวา, 2548: 52 – 54)<br /><br />- พระเจ้าโปรดให้มนุษย์มีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยประทานพระพรแห่งการมีส่วนร่วมชีวิตของพระเจ้า (To share in divine life) ทำให้มนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า<br /><br />- พระเจ้าโปรดให้มนุษย์มีความชอบธรรม อันหมายถึงการที่มนุษย์มีความกลมกลืนภายในตัวเอง มีความกลมกลืนระหว่างชายและหญิง และมีความกลมกลืนกับสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น มนุษย์สามารถเป็นนายเหนือตัวเอง ควบคุมตนเองและอยู่กับคนอื่น สิ่งอื่นได้อย่างประสานกลมกลืน <br /><br />ในฐานะที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นไปตามภาพลักษณ์ของพระองค์ มนุษย์จึงไม่สามารถมีอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องขึ้นอยู่กับพระเจ้าและดำเนินชีวิตมุ่งสู่พระเจ้าเพื่อความสมบูรณ์ของชีวิต การมุ่งสู่พระเจ้าจึงเป็นเป้าหมายและการกำหนดวิถีชีวิต พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีศักดิ์ศรีโดยประทานสติปัญญา ความสำนึกทางศีลธรรมและเสรีภาพเพื่อให้มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือบรรลุถึงพระองค์ ซึ่งอธิบายรายละเอียดดังต่อไปนี้<br /><br />1) สติปัญญา<br /><br />มนุษย์มีสติปัญญาทำให้สามารถรู้และเข้าใจความจริงและระเบียบของสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ “สติปัญญานี่เองที่ทำให้มนุษย์มีเหตุผลเข้าใจความจริงได้” (CCC, 1994: 1704)<br /><br />2) ความสำนึกทางศีลธรรม<br /><br />มนุษย์มีเสียงเตือนภายในจิตใจมนุษย์ที่คอยพร่ำเตือนให้มนุษย์มุ่งสู่ความดี หลีกเลี่ยงความชั่ว เพื่อช่วยวินิจฉัยให้มนุษย์ทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักเหตุผลสอดคล้องกับธรรมชาติมนุษย์ที่มุ่งสู่พระเจ้า (ความดีสูงสุด) <br /><br />3) เสรีภาพ<br /><br />พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีเหตุผล โดยประทานศักดิ์ศรีแก่มนุษย์ให้มีความคิดริเริ่มและทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ เพื่อให้มนุษย์แสวงหาและบรรลุถึงพระเจ้าด้วยความสมัครใจ เสรีภาพตามความเข้าใจของศาสนาคริสต์ จึงหมายถึง พลังที่มนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อการเลือกดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติมนุษย์ โดยตัดสินใจดำเนินชีวิตมุ่งสู่พระเจ้า ในฐานะที่มนุษย์ต้องขึ้นอยู่กับพระเจ้าและมีพระเจ้าเป็นเป้าหมายของชีวิตที่สมบูรณ์ แต่เนื่องจากมนุษย์มีขอบเขตจำกัดและยังไม่สมบูรณ์ มนุษย์จึงอาจใช้เสรีภาพในทางที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของตน โดยการปฏิเสธพระเจ้าก็ได้ <br /><br />ข. มนุษย์ใช้เสรีภาพที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติชีวิต ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าต้องบกพร่องไป<br /><br />1) มนุษย์ใช้เสรีภาพในทางที่ผิด ทำให้ธรรมชาติมนุษย์บกพร่อง<br /><br />เมื่อเริ่มสร้างโลกและมนุษย์ ๆ ขึ้นอยู่กับพระเจ้าและมีพระเจ้าเป็นความสมบูรณ์ของชีวิต “แต่มนุษย์กลับใช้เสรีภาพที่จะดำรงอยู่และบรรลุถึงความสมบูรณ์ด้วยตัวมนุษย์เอง มนุษย์ต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า (Be like God) โดยตัดพระเจ้าออกไปจากชีวิต” (CCC, 1994: 398) มนุษย์ต้องการมีอยู่ด้วยตัวเอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า มนุษย์เลือกที่จะตัดความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่มนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง เพราะมนุษย์ไม่ใช่ผู้สร้าง (Creator) จึงไม่สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์ของชีวิตได้ เพราะการบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ต้องอาศัยพระพรของพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น มนุษย์จึงสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาแต่แรกเริ่มและไม่อาจมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อีก มนุษย์กลายเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด ๆ โดย “เข้าใจว่าพระเจ้าหวงแหนสิทธิอำนาจของพระองค์และไม่อยากให้มนุษย์บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์แบบพระองค์” (CCC, 1994: 399) นอกจากนั้น มนุษย์ยังสูญเสียความชอบธรรมที่จะมีชีวิตอย่างกลมกลืนกับตนเองและธรรมชาติรอบตัว ดังใน Catechism of the Catholic Church (CCC, 1992: 400) กล่าวว่า<br /><br />...มนุษย์ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ตามพระประสงค์เดิม ความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างชายหญิงไม่กลมกลืนเหมือนเดิม รวมทั้งความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับสิ่งอื่น ๆ ก็หมดไปด้วย สิ่งต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งแปลกหน้าและดูเหมือนเป็นศัตรูกับมนุษย์ จึงทำให้มนุษย์พยายามที่จะเอาชนะโลก และท้ายที่สุด ในฐานะที่มนุษย์เป็นกายและวิญญาณที่ประกอบกันขึ้นเป็นหนึ่งเดียว และผลของบาปทำให้มนุษย์ไม่มีความกลมกลืนภายในชีวิตเหมือนเดิม กายและวิญญาณจึงไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างเดิม วิญญาณต้องแยกจากร่างกายในวันใดวันหนึ่ง ร่างกายต้องกลับไปสู่สภาวะเดิม คือกลับเป็นเป็นผงคลีดิน เพราะพระเจ้าทรงสร้างจากดิน (ปฐก 3: 19) ผลของบาปทำให้มนุษย์ต้องตาย... <br /><br />2) ความหมายของบาปกำเนิด<br /><br />การที่พระเจ้าสร้างอาดัม ในฐานะที่อาดัมเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ได้รับพระพร คือ ความศักดิ์สิทธิ์และความชอบธรรมจากพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเริ่มสร้างมนุษย์ขึ้นมาฉันใด เมื่ออาดัมทำบาป ๆ นั้นก็ย่อมเป็นบาปของมนุษยชาติด้วยเช่นกัน บาปของอาดัมจึงเรียกว่าบาปกำเนิดของมนุษยชาติ (CCC, 1994: 417) <br /><br />ค. ธรรมชาติมนุษย์ที่บกพร่องเพราะบาปกำเนิด ได้รับการกอบกู้โดยทางพระเยซูคริสตเจ้า<br /><br />แม้ธรรมชาติมนุษย์บกพร่องเพราะบาปกำเนิด แต่มนุษย์ยังคงเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า และ “พระองค์ทรงช่วยเหลือมนุษย์ให้กลับมาสู่สภาวะเดิมโดยทางองค์พระเยซูคริสตเจ้าที่ทรงยอมสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษยชาติ” (CCC, 1994: 421) ทำให้มนุษย์สามารถกลับสู่ภาวะเดิม คือ การมีชีวิตที่สามารถบรรลุถึงชีวิตสมบูรณ์ในพระเจ้าอีกครั้ง ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้ากลับคืนมาดังเดิม ทำให้มนุษย์ได้รับความชอบธรรม กล่าวคือ มนุษย์ได้รับภาวะแห่งความสัมพันธ์กับพระเจ้าดังเดิม จนสามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้าได้ อาศัยความช่วยเหลือของพระเจ้าตามวิถีทางที่พระองค์ช่วยเหลือและมอบแนวทางแก่มนุษย์ทางองค์พระเยซูคริสตเจ้า<br /><br />2.2.2 พระหรรษทาน<br /><br />ในคำสอนของศาสนาคริสต์ เรามักพบคำว่า “พระหรรษทาน” (Grace) อยู่เสมอ คริสตชนให้ความสำคัญแก่ “พระหรรษทาน” ในฐานะเป็นพระพรที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เพื่อบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ เป็นพระหรรษทานนี่เองที่ทำให้มนุษย์มีความชอบธรรม กล่าวคือ เป็นความช่วยเหลือของพระเจ้า (ด้วยการประทานพระพร/พระหรรษทานแก่มนุษย์) เพื่อช่วยมนุษยชาติให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ เพื่อมนุษย์จะได้บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์<br /><br />ก. พระหรรษทานคือ ของประทานจากพระเจ้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์<br /><br />คริสตชนเชื่อว่าคุณค่าและความหมายของชีวิตมนุษย์ คือ การพัฒนาตนเองสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ (ความรอดพ้น) ในพระเจ้า ตามรูปแบบที่พระองค์มอบให้ทางพระเยซูคริสตเจ้า หมายความว่า ลำพังมนุษย์เอง ไม่สามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ได้ นอกจากอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เป็นพระเจ้าที่ลงมาสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์และช่วยมนุษย์สู่ชีวิตที่สมบูรณ์ และความช่วยเหลือที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์นี่เอง ที่คริสตชนเรียกว่า “พระหรรษทาน” หรือ “พระพร” อันเป็นของประทานที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างถูกต้อง อันเป็นวิถีชีวิตที่ทำให้มนุษย์สามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า อาศัยความช่วยเหลือของพระเจ้า<br /><br />1) พระหรรษทาน คือ การมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้า<br /><br />พระหรรษทานเป็นของประทานจากพระเจ้า เพื่อให้มนุษย์อยู่ในภาวะของการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า หรือพระพรแห่งสถานภาพที่ทำให้มนุษย์กลับคืนดี มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าจนสามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์กับพระเจ้าได้ ทำให้มนุษย์มีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์ (CCC, 1994: 1997) <br /><br />2) พระหรรษทานเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ<br /><br />การบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เกินขอบเขตและความสามารถที่มนุษย์จะสามารถช่วยตนเองให้บรรลุถึงพระเจ้าได้ ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้า มนุษย์จึงสามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ได้<br /><br />3) พระหรรษทานเป็นการให้เปล่าจากพระเจ้า ที่ประทานแก่มนุษย์<br /><br />พระหรรษทานของพระเจ้านั้นเป็นพระพรที่พระเจ้าให้เปล่า ๆ เป็นผลมาจากการที่พระเจ้าทรงรักมนุษย์และปรารถให้มนุษย์บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ พระองค์จึงประทานพระหรรษทานแก่มนุษย์เพื่อเป็น “เครื่องมือที่จำเป็น” เพื่อการมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้า เพื่อบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์<br /><br />ข. พระหรรษทานของพระเจ้ากับท่าทีของมนุษย์ในการรับพระหรรษทาน<br /><br />แม้ว่าพระหรรษทานเป็นของประทานจากพระเจ้าเพื่อความรอดพ้นพ้นของมนุษย์และเป็นริเริ่มจากพระเจ้าที่ปรารถนาให้มนุษย์บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ แต่พระเจ้าทรงเรียกร้อง “การตอบสนองที่เสรีของมนุษย์” (Free will) (CCC, 1992: 2002) เพราะพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามฉาพลักษณ์ของพระองค์ ทรงประทานศักยภาพให้มนุษย์สามารถรู้จักและรักพระองค์อย่างอิสระ พระเจ้าประทานพระหรรษทานเพื่อช่วยมนุษย์สู่ความรอดพ้น แต่ขึ้นกับมนุษย์แต่ละคนว่าจะตอบรับการช่วยให้รอด (พระหรรษทาน) ที่พระองค์ประทานให้หรือไม่ก็ได้<br /><br />ค. รูปแบบการรับพระหรรษทาน<br /><br />นอกจากพระเจ้าทรงประทานพระหรรษทานเพื่อช่วยมนุษย์ได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า (ความชอบธรรม) ทำให้สามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้าได้แล้ว พระหรรษทานของพระเจ้ายังหมายถึงพระพรต่าง ๆ ที่พระจิตทรงประทานแก่ประชากรของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์สู่ความรอดพ้นพ้น โดยเฉพาะ “พระหรรษทานแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์” รวมทั้ง “พระพรพิเศษ” (Charisms) ที่พระเจ้าทรงประทานแก่ผู้ที่พระองค์เลือกสรรบางคน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมในแผนการแห่งความรอดพ้น (CCC, 1994: 2003)<br /><br />ง. พระหรรษทานกับคุณธรรม<br /><br />อาศัยพระหรรษทานของพระเจ้าทำให้มนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และได้รับพระพรในการดำเนินชีวิตสู่ความรอดพ้นพ้น พระหรรษทานเรียกร้องการตอบรับอย่างอิสระของมนุษย์ที่จะร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้า เพื่อความรอดพ้นพ้น เพื่อการดำเนินชีวิตที่ดีงามตามแนวทางของพระเจ้า ซึ่งคริสตชนเรียกว่า “คุณธรรม” นั่นเอง<br /><br />1) ความหมายของคุณธรรม<br /><br /> คุณธรรม หมายถึง การมีพร้อมที่เป็นกิจนิสัยและมั่นคงที่จะกระทำสิ่งดีงาม ด้วยการที่มนุษย์ตอบรับที่จะร่วมมือกับพระเจ้าในแผนการแห่งความรอดพ้น และหมั่นฝึกฝนตนเองอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า ด้วยการจัดระเบียบและกำหนดชีวิตของตนให้สอดคล้องกับเหตุผลและความเชื่อ เพื่อมุ่งสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า<br /><br />2) ประเภทของคุณธรรม<br /> <br />มีการแบ่งคุณธรรมออกเป็นสองประเภท ได้แก่คุณธรรมพื้นฐาน (คุณธรรมทางศีลธรรม) และคุณธรรมทางเทววิทยา กล่าวคือ<br /><br />2.1) คุณธรรมพื้นฐาน (คุณธรรมทางศีลธรรม) ได้แก่คุณธรรมหลัก ที่พระเจ้าประทานพระพรและมนุษย์ตอบรับอย่างอิสระที่จะพัฒนาบุคลิกภาพของตน ให้สอดคล้องกับแผนการแห่งความรอดพ้นของพระเจ้า มนุษย์จำเป็นต้องได้รับพระพรจากพระเจ้าและนำพระพรที่พระเจ้าประทานให้มาพัฒนาตนเอง อาศัยการศึกษาอบรม ความตั้งใจดี ความพากเพียรพยายามที่จะพัฒนาตนสู่ความดีงามในพระเจ้า ด้วยการพัฒนาตนเองให้มีคุณธรรม โดยคุณธรรมสำคัญสี่อย่าง (ที่เป็นพื้นฐานของคุณธรรมอื่น ๆ) ได้แก่ (CCC, 1994: 1805 – 1811) <br /><br />- ความรอบคอบ ได้แก่ ความสามารถในการแยกแยะสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ นำสู่การปฏิบัติและมีวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมในการกระทำกิจการดีนั้น ๆ<br /><br />- ความยุติธรรม ได้แก่ การมีความเที่ยงตรงที่จัดสรรสิ่งต่าง ๆ แก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์อย่างถูกต้อง เพื่อทำให้เกิดความยุติธรรมแก่ชีวิตและการเคารพสิทธิพื้นฐานของบุคคล ส่งผลให้มนุษย์มีความกลมกลืนในชีวิต<br /><br />- ความกล้าหาญ ได้แก่ ความมั่นคงในการเผชิญหน้ากับปัญหา ความกลัวและอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิต<br /><br />- ความมัธยัสถ์ ได้แก่ การรู้จักยับยั้งชั่งใจในความพอเพียงของชีวิต หรือพูดง่าย ๆ คือ การรู้จักประมาณตนนั่นเอง<br /><br />2.2) คุณธรรมทางเทววิทยา<br /><br />คุณธรรมทางเทววิทยา หมายถึง พระพรที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เพื่อการดำเนินชีวิตตอบรับที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างใกล้ชิด อันเป็นพื้นฐานการกระทำทีดี (การตอบรับที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า) ตามแบบคริสตชน ประกอบด้วยคุณธรรมสามประการ ได้แก่ (CCC, 1994: 1812 – 1829)<br /><br />- ความเชื่อศรัทธา (Faith) หมายถึง พระพรที่พระเจ้าประทานให้เพื่อมนุษย์ได้เปิดจิตใจของตนให้เชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้าและเชื่อในทุกสิ่งที่พระเจ้าเผยแสดงและที่พระศาสนจักรสั่งสอน ความเชื่อมั่นศรัทธาเป็นพื้นฐานที่ทำให้คริสตชนดำเนินชีวิตตามวิถีทางแห่งความจริงตามที่พระเจ้าเผยแสดงทางพระเยซูคริสตเจ้า<br /><br />- ความหวัง (Hope) หมายถึง พระพรที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เพื่อให้ดำเนินชีวิตอย่างมีความหวังในพระสัญญาของพระเจ้า ที่ทรงปรารถนาให้มนุษย์บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ ทำให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างสำนึกในคุณค่าและความหมายชีวิตของตน แม้มนุษย์จะบกพร่อง อ่อนแอ แต่พระเจ้าประทานความหวังให้มนุษย์หมั่นเพียรเอาชนะตนเอง ตามแนวทางของพระองค์<br /><br />- ความรัก (Charity) หมายถึงพระพรที่พระเจ้าทรง “รักมนุษย์” และทรงโปรดให้มนุษย์รักพระองค์และรักเพื่อนมนุษย์ โดยมีพื้นฐานอยู่ที่ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไขและเพื่อความดีของมนุษยชาติ<br /><br />2.3 กฎเกณฑ์ทางศีลธรรม (บทบัญญัติแห่งความรัก)<br /><br /> จากคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า ทำให้คริสตชนตระหนักถึงความรัก ความเอาใจที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ตามแผนการแห่งความรอดพ้น พระเจ้าประทานพระพรเพื่อช่วยมนุษย์ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะหลักปฏิบัติในลักษณะของคู่มือ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งคริสตชนสำนึกเสมอว่าเป็น “บัญญัติแห่งความรัก” ที่พระเจ้ามอบแก่มนุษย์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ อันเป็นวิถีทางสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า โดยแยกประเภทและมีการอธิบายดังนี้ (CCC, 1994: 1949 – 1960)<br /><br />2.3.1 กฎธรรมชาติ : ความสำนึกทางศีลธรรม เสียงเตือนภายในจิตใจ <br /><br />คริสตชนเชื่อว่า นอกจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีสติปัญญา และเสรีภาพ มนุษย์ยังมีความสำนึกทางศีลธรรมที่คอยแนะนำให้ทำในสิ่งที่ควรทำ “ทำสิ่งนั้น อย่าทำสิ่งนี้” เป็นเหมือนกับกฎภายในใจที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นเอง แต่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ เพื่อช่วยมนุษย์มุ่งสู่ความดีและความจริง ความสำนึกทางศีลธรรมนี้อาจบกพร่องก็ได้ ถ้ามนุษย์เลือกทำแต่สิ่งไม่เหมาะสมจนเป็นความเคยชิน มนุษย์ “ต้องพยายามทำให้ความสำนึกทางศีลธรรมมีความเที่ยงตรง และพยายามมุ่งสู่การกระทำที่ดี และการช่วยเหลือกันของสมาชิกในสังคม” (วุฒิชัย อ่องนาวา, 2548: 49)<br /><br />ก. ความหมายของกฎธรรมชาติ<br /><br />กฎธรรมชาติ หมายถึงการที่มนุษย์มีเสียงเตือนภายในจิตใจมนุษย์ที่คอยพร่ำเตือนให้มนุษย์มุ่งสู่ความดี หลีกเลี่ยงความชั่ว เพื่อช่วยวินิจฉัยให้มนุษย์ทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักเหตุผลสอดคล้องกับธรรมชาติมนุษย์ที่มุ่งสู่พระเจ้า (ความดีสูงสุด) อันเป็นหลักการพื้นฐานภายในจิตใจมนุษย์ ที่แสดงถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์และเป็นพื้นฐานถึงการกระทำในสิ่งที่มนุษย์ควรทำในฐานะเป็นมนุษย์ “กฎธรรมชาติถูกจารึกไว้ในวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนทั้งหมด อันที่จริงกฎนั้นเป็นเหตุผลของมนุษย์ซึ่งกำหนดที่จะทำสิ่งดีงามและห้ามทำบาป” (CCC, 1994: 1954)<br /><br />ข. ความจำกัดของกฎธรรมชาติ<br /><br />แม้พระเจ้าทรงโปรดประทาน “ความสำนึกภายในจิตใจ” (มโนธรรม) หรือ “กฎธรรมชาติในจิตใจ” แก่มนุษย์ แต่เนื่องจากการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์ ต้องประสบกับสถานการณ์หลากกรณีของชีวิต ทีอาจชักนำให้มนุษย์สับสนและเป็นเหตุให้ความสำนึกในจิตใจของมนุษย์ผิดเพี้ยนไปได้ จึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อทำให้ความสำนึกภายในจิตใจของมนุษย์มีความเที่ยงตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวปฏิบัติ (กฎเกณฑ์) ต่าง ๆ ที่พระเจ้าโปรดประทานให้อาศัยการเผยแสดงในพระเยซูคริสตเจ้าและการอธิบายของพระจิตเจ้าผ่านทางพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น เพื่อช่วยขัดเกลาและแนะนำแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อความเหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์อย่างถูกต้อง<br /><br />2.3.2 พระบัญญัติสิบประการ<br /><br />ก. คุณค่าและความหมาย : พระบัญญัติหนึ่งเดียวเพื่อเป็นแนวทาง (เครื่องมือ/คู่มือ) สร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์<br /><br />ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม กล่าวถึงพระบัญญัติและข้อผูกมัดในการเป็นประชากรของพระเจ้าอยู่หลายประการ เพื่อสอนว่าสิ่งใดที่สำคัญในพระประสงค์ของพระเจ้าและควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อสอดคล้องกับแผนการแห่งความรอดพ้น พระเยซูคริสตเจ้าทรงเคร่งครัดในการปฏิบัติตามพระบัญญัติ ทรงย้ำว่าพระองค์ไม่ได้ล้มล้างแต่มาทำให้สมบูรณ์ กล่าวคือ ทรงให้คุณค่าและความหมายของการปฏิบัติตามพระบัญญัติ ว่าไม่ใช่ดำเนินตามตัวอักษร แต่คุณค่าของการปฏิบัติตามพระบัญญัติคือ การปฏิบัติความรักเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ พระองค์ทรงเชื่อมโยงการปฏิบัติตนเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์เข้าด้วยกัน โดยสรุปพื้นฐานพระบัญญัติของพระเจ้าว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ... นี่คือบทบัญญัติเองและบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือ ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (มธ 22: 37 – 40) พระบัญญัติซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าทรงอธิบายว่าเป็นฐานของระเบียบการปฏิบัติในรายละเอียดต่าง ๆ นี้ คือกฎเกณฑ์สำหรับชีวิต ทรงย้ำความสำคัญของการปฏิบัติพระบัญญัติด้วยความรักซึ่งรวมไปถึงการรักพระเจ้า รักเพื่อนมนุษย์และรักตนเอง <br /><br />คริสตชนดำเนินตามแบบอย่างของพระเยซูคริสตเจ้า ในการรับเอาธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ที่มีจารึกในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่ได้รับจากพระเจ้าที่ภูเขาซีไนย์ เป็นหลักการหรือกฎระเบียบเบื้องต้นในการดำเนินชีวิตคริสตชน โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เป็นแนวปฏิบัติเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ อันเป็นวิถีปฏิบัติสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า โดยมีพื้นฐานบนกฎธรรมชาติ (ความสำนึกภายในจิตใจ) ที่พระเจ้าประทานให้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์<br /><br />ข. พื้นฐานและเนื้อหาพระบัญญัติสิบประการตามธรรมประเพณีคริสตชน<br /><br />การประกาศพระบัญญัติในพระคัมภีร์เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของพระเจ้าว่า “เราเป็นพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากประเทศอียิปต์ ดินแดนแห่งการเป็นทาส” (อพย 20: 2) คริสตชนเชื่อในสิ่งที่ชาวอิสราเอลเชื่อ คือ เชื่อว่าพระเจ้าทรงกอบกู้ประชากรของพระองค์ ทรงเป็นฝ่ายริเริ่มและได้ทรงรักมนุษย์ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักและรักพระองค์ พระองค์ต้องการให้มนุษย์ร่วมชีวิตกับพระองค์ จึงทรงเสนอและทำพันธสัญญากับพวกเขา พระบัญญัติสิบประการที่ประชากรของพระเจ้าได้รับที่ภูเขาซีไนย์มีรากฐานบนความรัก เหตุว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์เป็นเหมือนกับพระองค์ (การบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์) ตามแนวปฏิบัติที่พระองค์ประทานให้ทั้งสิบประการจากข้อความในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่มีกล่าวถึงสองตอนด้วยกัน (คือ ในหนังสืออพยพ 20: 2-17 และหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ 5: 6-21) ซึ่งคริสตชนสรุปเพื่อง่ายต่อการจดจำเป็นพระบัญญัติสิบประการของคริสตชน โดยอ้างอิงจากข้อความในพระคัมภีร์ที่มีกล่าวถึงทั้งสองตอน ดังต่อไปนี้ (ยอด พิมพิสาร, 1998: 121 – 123)<br /><br /> พระบัญญัติสิบประการ<br /><br />ข้อความจากหนังสืออพยพ ข้อความจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่คริสตชนใช้<br />เราคือพระเจ้าของเจ้า เราคือองค์พระเจ้า พระเจ้าของ 1. จงนมัสการพระ นำเจ้าออกจากแผ่นดิน เจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดิน เป็นเจ้าผู้เดียวของเจ้า<br />อียิปต์ จากแดนทาส อียิปต์ จากแดนทาส<br /><br />อย่ามีพระเจ้าอื่นใด อย่ามีพระเจ้าอื่นใด<br />นอกเหนือจากเรา นอกเหนือจากเรา<br /><br />อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน<br />เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน <br />หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง<br />หรือในน้ำใต้แผ่นดิน<br />อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติ<br />รูปเหล่านั้น เพราะเราคือ<br />พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่<br />หวงแหน ให้โทษตกทอดไปถึง<br />ลูกหลานของผู้ที่เกลียดชังเรา<br />จนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน<br />แต่เราแสดงความรักมั่นคง<br />ต่อคนที่รักเราและปฏิบัติตาม<br />บัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน<br /><br />อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้า อย่าออกพระนามพระเจ้า 2. อย่าออกพระนามอย่างไม่สมควร ของเจ้าอย่างไม่สมควร พระเจ้าโดยไม่สมเพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์ เหตุ <br />อย่างไม่สมควรนั้น<br />พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้<br /><br />จงระลึกถึงวันสับบาโตถือเป็น จงถือวันสับบาโต 3. วันพระเจ้าอย่าลืม<br />วันบริสุทธิ์ จงทำการงานทั้งสิ้น เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ฉลองเป็นวัน<br />เพื่อชำระตนให้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ <br />วันของเจ้าหกวัน แต่วันนั้น อย่าทำ<br />การงานใด ๆ ไม่ว่าเจ้าเอง<br />หรือบุตรชาย บุตรหญิงของเจ้า<br />หรือทาส ทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งาน<br />ของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า<br />เพราะในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้า<br />และแผ่นดิน ทะเลและสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่<br />เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก<br />เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพรวันสับบาโต<br />และทรงตั้งวันนั้น<br /><br />จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า จงให้เกียรติแก่บิดามารดา 4. จงนับถือบิดา<br />เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ของเจ้า มารดา<br />ซึ่งพระเจ้าของประทานให้แก่เจ้า<br /><br />อย่าฆ่าคน อย่าฆ่าคน 5. อย่าฆ่าคน<br /><br />อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา 6. อย่าทำอุลามก<br /><br />อย่าลักทรัพย์ อย่าลักทรัพย์ 7. อย่าลักขโมย<br /><br />อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้าย 8. อย่าใส่ความ<br /> เพื่อนบ้าน นินทา<br /><br />อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน 9. อย่าปลงใจใน<br />และของคนอื่น ความอุลามก<br /><br />อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่ามักได้สิ่งของซึ่งเป็น 10. อย่ามักได้ทรัพย์<br />หรือทาส ทาสีของเขาหรือสิ่งใด ๆ ของเพื่อนบ้าน ของเขา <br />ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน<br /><br /> พระบัญญัติสิบประการนี้ยืนยันถึงการปฏิบัติความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ โดยพระบัญญัติสามประการแรกเกี่ยวกับความรักต่อพระเจ้าเป็นสำคัญ และพระบัญญัติอีกเจ็ดประการอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับความรักต่อเพื่อนมนุษย์ (CCC, 1994: 2067) ถือเป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ หรือเป็นหลักการพื้นฐาน หรือ “กฎธรรมชาติ” ที่มนุษย์พึงปฏิบัติในวิถีชีวิตของตน<br /><br />ค. ความหมายของพระบัญญัติประการต่าง ๆ <br /><br />มุขนายก ยอด พิมพิสาร ได้แปลและเรียบเรียงเอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการอธิบายความหมายของพระบัญญัติประการต่างๆ สรุปได้ดังนี้ (1998: 121 – 123)<br /><br />- พระบัญญัติประการที่หนึ่ง : จงนมัสการพระเป็นเจ้าผู้เดียวของเจ้า<br />หมายความว่า ไม่ควรมีสิ่งใดและบุคคลใดที่มีความหมายต่อชีวิตของเรามากกว่าพระเจ้า ต้องไม่ไว้วางใจสิ่งใดหรือผู้ใดมากกว่าพระองค์ ต้องเชื่อมั่นในพระองค์ในทุกสิ่งและนมัสการสรรเสริญพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงการห้ามไปบนบาน การไปเข้าเจ้า เข้าทรงและการหาหมอดูเพื่ออยากรู้อนาคต (สะท้อนถึงการไม่ไว้วางใจในพระเจ้า)<br /><br />- พระบัญญัติประการที่สอง : อย่าออกนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ<br /><br />หมายถึงการเทิดเกียรติพระนามของพระเจ้า ต้องทำตนให้เป็นประจักษ์พยานแด่พระนามพระเจ้าและป่าวประกาศพระนามของพระองค์อย่างสมเกียรติ ต้องไม่กล่าวถึงพระเจ้าในแบบปราศจากความเคารพนับถือหรือนำไปใช้โดยไร้เหตุผล (เช่น นำมาสาบานว่า สิ่งทีพูดเป็นความจริง ทั้งที่เป็นความเท็จ) <br /><br />- พระบัญญัติประการที่สาม : วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์<br /><br />หมายถึงการให้ความสำคัญแก่วันพระเจ้า (วันอาทิตย์) สำหรับการหยุดการทำงานเพื่อพักผ่อน หรือจัดสรรเวลาและบรรยากาศอย่างเหมาะสม เพื่อจะได้มีเวลาสำหรับการนมัสการสรรเสริญพระเจ้า โดยเฉพาะการไปร่วมฉลองพิธีบูชาขอบพระคุณวันอาทิตย์ที่วัด ร่วมกับกลุ่มคริสตชน<br /><br />- พระบัญญัติประการที่สี่ : จงนับถือบิดามารดา<br /><br />หมายความว่า ให้เคารพรักบิดามารดา (รวมถึงญาติผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ) และอยู่กับพวกท่านอย่างสันติ โดยไม่ลืมว่าพวกท่านได้เลี้ยงดูอบรมและเป็นหนี้บุญคุณพวกท่าน ให้ความเคารพนบนอบในสิ่งที่พวกท่านพูด อยู่เคียงข้าง อย่าทอดทิ้งพวกท่านโดยเฉพาะในยามแก่ชราและเจ็บป่วย<br /><br />- พระบัญญัติประการที่ห้า : อย่าฆ่าคน<br /><br />หมายความว่า อย่าปล่อยให้ตัวเราอยู่ภายใต้ความครอบงำของความโกรธหรืออิจฉา อย่าทำตนเป็นศัตรูกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้รักษาสุขภาพของตนอย่างดี ไม่เสพสิ่งไม่ดีและบ่อนทำลายสุขภาพของตน ยืนหยัดเพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานของชีวิตแต่ละคน รวมทั้งทารกที่ยังไม่เกิด ปกป้องสิทธิของทุกคน (แม้แต่ทารกในครรภ์มารดา ซึ่งถือว่าเป็นมนุษย์แล้ว) ช่วยชีวิตผู้อื่นที่กำลังได้รับอันตราย ผู้หิวโหย ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความหายนะ ผู้เจ็บป่วยและอ่อนแอ ให้ต่อต้านสงครามและพยายามสร้างสันติสุขในแผ่นดิน<br /><br />- พระบัญญัติประการที่หกและเก้า : อย่าทำอุลามก และอย่าปลงใจในความอุลามก<br /><br />พระบัญญัติประการที่หกและเก้า มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวเนื่องกันเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตครอบครัวอย่างถูกต้อง หมายความว่า ให้ยอมรับว่าความรักระหว่างชายหญิงจะต้องแสดงออกด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ในการอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต ภายใต้พันธะของการแต่งงานที่ถูกต้อง (แบบคริสตชนโดยผ่านการรับรองและพิธีแต่งงานที่ถูกต้อง) ความสัมพันธ์ในครอบครัวต้องมีพื้นฐานอยู่บนความรัก การเห็นอกเห็นใจ ไม่พยายามใช้อำนาจขมขู่หรือทำร้ายคู่ชีวิต ไม่ล่อลวงให้ผู้อื่นกระทำผิดต่อคู่สมรสของเขาหรือตัวเองเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง ปฏิบัติต่อคนอื่นในแบบให้เกียรติ ให้ความเคารพในตัวบุคคลในฐานะที่เป็นมนุษย์<br /><br />- พระบัญญัติประการที่เจ็ดและสิบ : อย่าลักขโมยและอย่ามักได้ทรัพย์ของเขา<br /><br />พระบัญญัติประการที่เจ็ดและสิบมีความหมายสืบเนื่องกัน หมายความว่า ต้องเคารพในสิทธิของมนุษย์ที่จะเป็นเจ้าของครอบครองกรรมสิทธิ์ พยายามบังคับตนเองไม่ให้ตกเป็นทาสของความโลภ ความอยากได้ ความไม่พอใจหรือทำลายทรัพย์สินของคนอื่น ไม่คดโกง ไม่คิดดอกเบี้ยที่สูงเกินควร ไม่เก็บสิ่งที่เก็บได้ไว้เป็นของตนเอง ให้คืนสิ่งที่ยืมเขามา ไม่ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่คดโกงค่าแรงงาน ไม่หัวเราะเยาะเย้ยเมื่อเขาประสบเหตุที่ไม่ดี ให้แบ่งปันกับผู้อื่น ให้ช่วยคนยากจน <br /><br />- พระบัญญัติประการที่แปด : อย่าใส่ความนินทา<br /><br />หมายความว่า ต้องพูดความจริง ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองพูด ไม่โอ้อวดหรือพยายามทำตัวว่าตนเองมีความสำคัญ อย่าบิดเบือนความจริง อย่าทำผิดต่อเกียรติยศของผู้อื่น อย่าทำลายชื่อเสียงของผู้อื่นด้วยการครหานินทา อย่าปล่อยให้ตัวเราถูกใช้ในการใส่ร้ายผู้อื่น ให้เก็บรักษาความลับตามจรรยาบรรณและเก็บเรื่องความลับไว้กับตัวเอง ไม่เป็นพยานเท็จในศาล ขอให้เป็นประจักษ์พยานตามความจริง<br /><br />2.3.3 พระบัญญัติ/แนวปฏิบัติอื่น ๆ ของพระศาสนจักร<br /><br /> นอกจากพระบัญญัติสิบประการ ซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐานการดำเนินชีวิตคริสตชนแล้ว พระศาสนจักรยังได้กำหนดให้มี “บัญญัติของพระศาสนจักร” รวมทั้งแนวปฏิบัติปลีกย่อยอื่น ๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างให้คริสตชนมีแนวทางที่เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เพื่อการดำเนินชีวิตเป็น “หมู่คณะคริสตชน” ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน พระบัญญัติของพระศาสนจักรที่สำคัญได้แก่<br /><br /> 1) จงร่วมบูชาขอบพระคุณและอย่าทำงานวันอาทิตย์และวันฉลองบังคับ<br /><br />เป็นการให้ความสำคัญแก่การเฉลิมฉลองวันพระเจ้า (วันอาทิตย์) โดยให้ไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในวันอาทิตย์และวันฉลองบังคับ เพื่อคริสตชนจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันในการสรรเสริญพระเจ้าและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคริสตชนด้วยกัน<br /><br /> 2) จงอดอาหารและอดเนื้อในวันบังคับ<br /><br /> เป็นการส่งเสริมให้คริสตชนเอาชนะตนเอง เพื่อร่วมส่วนในพระทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า โดยเฉพาะในวันพุธรับเถ้า (วันเริ่มต้นเทศกาลมหาพรต) และวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (ระลึกถึงวันที่พระเยซูคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์) การอดอาหารและอดเนื้อครอบคลุมถึงการลดละกิจการบันเทิงต่าง ๆ เพื่อจะได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน<br /><br /> 3) จงรับศีลอภัยบาปอย่างน้อยปีละครั้ง และรับศีลมหาสนิทอย่างน้อยปีละครั้งในกำหนดปัสกา<br /><br /> เป็นการกำหนด “เกณฑ์ขั้นต่ำ” เพื่อให้พระเจ้าได้เข้ามาในจิตใจคริสตชน โดยทางศีลอภัยบาปและการรับพระเยซูคริสตเจ้าในศีลมหาสนิท<br /><br /> 4) จงบำรุงพระศาสนจักรตามความสามารถ<br /><br /> เป็นการสนับสนุนกิจการของพระศาสนจักร รวมทั้งชุมชนคริสตชนที่ตนสังกัดอยู่ เพื่อความต้องการของชุมชนและการประกาศเผยแผ่ศาสนา<br /><br />3. สรุป<br /><br />คริสตชนมีแนวคิดว่ามนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรีในฐานะเป็นฉาพลักษณ์ของพระเจ้า พระองค์ประทานศักยภาพให้มนุษย์สามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ (ความรอดพ้น) ในพระองค์ได้ โดยร่วมมือกับพระเจ้าในการพัฒนาคุณค่าชีวิต อาศัยสติปัญญา ความสำนึกทางมโนธรรมและเสรีภาพ โดยดำเนินชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคม แม้ในประวัติศาสตร์ มนุษย์จะบกพร่องด้วยการเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ยังทรงเมตตาประทานความช่วยเหลือให้มนุษย์กลับสู่สภาวะที่สามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ อาศัยการช่วยให้รอดของพระเจ้าทางพระเยซูคริสตเจ้า และพระองค์ทรงโปรดประทานแนวทาง (กฎเกณฑ์) และทรงประทานพระพร (พระหรรษทาน) คอยช่วยเหลือมนุษย์เสมอ มนุษย์ได้กลับกลายเป็นมนุษย์ใหม่ทางพระเยซูคริสตเจ้า กลับสู่การมีความสัมพันธ์ที่ดี จนสามารถบรรลุถึงพระเจ้าได้ มนุษย์สามารถรอดพ้นจากบาปและความตาย ความสามารถในการบรรลุถึงพระเจ้าที่มนุษย์ได้รับผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้านี้ ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากมนุษย์ กล่าวคือ ไม่ได้มาจากการที่มนุษย์ปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของธรรมบัญญัติตามตัวอักษร ไม่มีมนุษย์คนใดจะได้รับความรอดพ้นพ้นเพียงแค่การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ความรอดพ้นพ้นไม่ได้มาจากความสามารถของมนุษย์ แต่เป็นพระกรุณาที่พระเจ้ามอบให้มนุษย์ผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้า มนุษย์มีหน้าที่ตอบรับด้วยความเชื่อในพระเจ้าและในพระเยซูคริสตเจ้า โดยการทุ่มเทชีวิตของตน ด้วยเสรีภาพที่พระเจ้าประทานให้ มุ่งสู่การเปิดตนเองเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าพร้อมกับเพื่อนมนุษย์อื่น ๆ (วุฒิชัย อ่องนาวา, 2548: 31)<br /><br />แม้คริสตชนจะมีแนวทางปฏิบัติ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ในรูปแบบของพิธีกรรมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แต่คริสตชนสำนึกว่าวิถีชีวิตคริสตชนในการปฏิบัติคารวกิจพิธีกรรมและการน้อมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้เป็น “คู่มือ/เครื่องมือ” ที่พระเจ้าประทานให้เพื่อเป็นแนวปฏิบัติสู่ความรอดพ้น พิธีกรรมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จึงเป็น “บัญญัติแห่งความรัก” ที่พระเจ้าประทานให้เพราะความรักที่ทรงมีต่อมนุษย์ โดยมีพระหรรษทาน (พระพร) ของพระเจ้าช่วยให้มนุษย์เห็นคุณค่าและความหมายของชีวิต พยายามดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อแนวทางของพระเจ้า ด้วยการตอบรับในการดำเนินชีวตามแนวทางของพระองค์ และอาศัยพระพรจากพระเจ้าจะช่วยให้มนุษย์บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์joylunch.blogspot.comhttp://www.blogger.com/profile/06124917237429878375noreply@blogger.com0